spring break
ตอนนี้มหาวิทยาลัยมีแต่ความเงียบสงัด ไม่มีการเรียนการสอน เด็กปริญญาตรีหายไปหมด ต้องย้ายออกจากหอ บางคนคงมุ่งหน้ากลับบ้าน แต่อีกจำนวนมากโขคงมุ่งลงใต้ หนีหิมะไประรื่นกับแสงแดดริมฝั่งทะล
น่าอิจฉาจริงๆ
แต่คนที่เพิ่งผ่าน year break อย่างผมคงไม่มีสิทธิไประรื่นอย่างเขา ต้องใช้เวลาในช่วง spring break หมกตัวจำศีล นั่งเขียนงานในห้องเล็กๆ บนชั้นสาม ของ prince dorm ที่ผมคุ้นเคย
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมย้ายตัวเองออกจากหอน้อยมาก ด้วยเหตุที่มีพายุหิมะมาเยี่ยมเยียนทักทายสองครั้งซ้อน ครั้งหนึ่งก็ร่วม 2 วัน
ตั้งแต่ย้ายถิ่นฐานกลับมาบ้านนอก ไม่ถึงครึ่งเดือน ผมโดนพิษหิมะทักทายอย่างต่อเนื่อง กลับมาถึงก็เจอพายุหิมะจนล้มป่วย เลือดออกจมูกทุกวัน ไม่ทันฟื้นตัวดี ก็เจอลูกต่อๆมา จริงๆแล้ว ผมว่า เทอม spring ที่บ้านนอกนี่มันไม่ใช่ spring แต่มันคือ winter ดีๆ นี่เอง กว่า spring จริงๆ จะมา ก็ล่วงเอาจนจะหมดเทอมเข้าไปแล้ว
อากาศแถบบ้านนอกที่ผมอยู่หนาวโหดร้ายเกือบทั้งปี ทำให้ชีวิตเมืองนอกผมดูจะไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่ พูดให้ถูกก็คือ ผมไม่ชอบสิ่งแวดล้อมแถวนี้เอาซะเลย ถ้าไม่ติดที่สำนักที่ผมอยากมาฝึกวิชาตั้งอยู่ที่นี่ ผมคงพบเจอตัวเองอยู่แถบฝั่งตะวันตก มากกว่ามาหนาวสั่นอยู่ภาคอีสานแถวนี้
ใครที่ยังตัดสินไม่ได้ว่าจะไปเรียนที่ไหนดี หรือไม่ได้ต้องการเรียนที่สำนักไหนเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษ ก็ดูปัจจัยอากาศเอาไว้บ้างก็ดีนะครับ ถ้าไม่ติดกับชื่อสำนักมากนัก ก็เลือกที่ที่ทำให้ชีวิตมีชีวิตชีวาดีกว่า อากาศดีๆ มีที่ไป ให้ได้เปิดหูเปิดตา
มาอยู่เมืองเล็กๆ มากไปก็ไม่ดี ชีวิตจะอับเฉาเสียเปล่าๆ ถ้ามีวินัยจริง ก็ไม่ต้องไปเชื่อวาทกรรมที่ว่า อยู่เมืองเล็กๆเงียบๆสงบๆสิดี จะได้ตั้งใจเรียนเต็มที่ ผมว่าเลือกเอาที่ๆ มีทางเลือกในการใช้ชีวิตมากๆ ดีกว่า ถ้าเราอยากเรียน ก็มีบรรยากาศที่ส่งเสริมให้ได้เรียนรู้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ต้องการพักผ่อนหรือเปิดหูเปิดตา ก็มีที่ให้เราเลือกที่จะไปได้ จำกัดชีวิตตัวเองหรือให้สิ่งแวดล้อมมาบังคับตัวเองไม่ดีหรอก ถ้าให้ผมแนะแนว ผมก็แนะให้ไปเรียนเมืองใหญ่ๆ อย่าง new york หรือ san francisco พวกนั้นจะดีกว่า มีอะไรให้ค้นหามากมาย ดีกว่าจะมาจับเจ่าอยู่แถบบ้านนอก ที่มีแต่ภูเขา
ใครรักสงบก็เชิญเถอะครับ แต่ผมชอบเมืองใหญ่ มีแสงสีมากกว่า
<< Home