ส. ศิวรักษ์ พูด
คอลัมน์ I-Think
โดย มโนมัย มโนภาพ
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ส่วน 'เสาร์สวัสดี' วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2548
............
เสียงจากปัญญาชนสยาม
ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความเข้าใจสังคมไทยอย่างลึกซึ้งคนหนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องสถาบันศาสนาและพระมหากษัตริย์ เป็นนักคิดสายอนุรักษนิยมที่โดยเนื้อแท้มีจุดยืนแตกต่างจากนักอนุรักษนิยมโดยทั่วไป ความกล้าในการวิพากษ์วิจารณ์ของเขา ทำให้เคยได้รับข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ผ่านพ้นมาได้ด้วยดี มุมมองของเขาครั้งนี้ไม่ใหม่นัก แต่เป็นการย้อนกลับไปหารากฐานที่หลายคนยังไม่รู้
"ไม่เป็นไร เรียกผมยังไงก็ได้"
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือที่รู้จักกันในนาม ส.ศิวรักษ์ วัย 72 ปี นักคิด นักเขียน และนักวิจารณ์ปากกล้าคนหนึ่งของสังคมไทย เอ่ยขึ้นเมื่อ 'เสาร์สวัสดี' ถามถึงกรณีที่ใครหลายคนเคยจัดให้เขาเป็นนักอนุรักษนิยม บ้างก็จัดให้เป็นผู้นิยมเจ้า (Royalist) ที่มีความเด่นชัดมากที่สุดคนหนึ่ง
"คือ conservative นี่ต้องเข้าใจนะว่า คือการรักษาของเก่าเป็นของดี รักษาต้นไม้เป็นของดี แต่ถ้าคุณรักษาของเก่าจนของเก่าทำลายของใหม่ อันนี้ผิด เหมือนต้นไม้ มันแก่แล้ว มีกาฝากก็ต้องตัดเอากาฝากออก ต้องรักษาเนื้อไม้ไว้ เอาเปลือกกระพี้ทิ้ง ไอ้ conservative ที่ไม่ทำอะไรเลย อันตรายนะครับ มันเป็นโทษ"
"แต่ถ้าคุณจะ radical มาบอกเสียเวลารักษาไว้ทำไม ยิ่งต้นไม้ตัดง่ายที่สุด คุณจะเอาอะไรมาแทน เหมือนประเทศเพื่อนบ้านเรา ประธานาธิบดีแต่ละคนไม่ได้เรื่องทั้งนั้น อย่างน้อยสถาบันนี้ก็มีมานาน ช่วยกันแก้ที่บกพร่อง ดูแลรักษาที่ดีเอาไว้ ดีกว่าล้มไปแล้วมาสร้างอะไรใหม่ แต่ผมอาจจะผิดก็ได้"
เหตุที่มีการพูดถึงเรื่องพระราชอำนาจกันมาก ด้านหนึ่งมาจากเหตุวิกฤติในองค์กรอิสระ ตั้งแต่กรณีของคุณหญิงจารุวรรณ เป็นต้นมา อาจารย์คิดว่าความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องนี้ควรเป็นอย่างไร
คืออย่างนี้นะครับ พระเจ้าแผ่นดิน ตั้งแต่ 2475 มา โดยทฤษฎีเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ อีกนัยหนึ่งพระราชอำนาจทั้งหมด จะต้องเป็นไปโดยมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ไม่สามารถจะทรงแสดงทางหนึ่งทางใดได้เลย ในทางการเมืองนะครับ
ยกตัวอย่างในประเทศญี่ปุ่น พระเจ้าแผ่นดินจะตรัสอะไรสักคำก็ไม่ได้ นี่เขาเคร่งกันขนาดนั้น เพราะพระเจ้าแผ่นดินญี่ปุ่นเคยมีอำนาจมากเหลือเกิน (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) อเมริกาไม่ล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะต้องการเอาไว้เป็นเพียงสัญลักษณ์
ประเทศอังกฤษ คุณก็รู้แล้วว่า เขาก็ต่อสู้กันมาระหว่างรัฐสภา กับพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินถูกตัดพระเศียรไป เวลานี้ชัดเจนเลยครับ ทุกอย่างที่เป็นพระราชดำรัส รัฐบาลจะเขียนถวายทั้งสิ้น แม้กระทั่งออกวิทยุกระจายเสียงทั่วโลกในวันที่ 25 ธันวาคม วันคริสต์มาส รัฐบาลก็ต้องตรวจ นี่คือเรื่องหลังฉากนะครับ
ทีนี้ พระราชอำนาจอยู่ตรงไหน อันนี้พระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงรับสั่งเห็นด้วย พระเจ้าแผ่นดินมีหน้าที่ หนึ่ง - เตือนรัฐบาล สอง - แนะนำ สาม - วิพากษ์วิจารณ์ แต่ทั้งหมดนี้ต้องทำเป็น private ไม่เปิดเผยให้คนเห็นให้คนรู้ เพราะรัฐบาล เป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งหมดทำลงในพระปรมาภิไธย แต่ไม่ทรงรับผิดชอบ คนที่รับผิดชอบคือคนที่สนองพระบรมราชโองการ ต้องแยกกันนะครับ อันนี้คือพระเจ้าแผ่นดินภายใต้รัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ 2475 มา
แต่บางครั้ง เราไม่ได้เดินตามกฎตามเกณฑ์นี้ เช่น เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจปี 2500 จอมพลสฤษดิ์ ก็บอกว่าประชาธิปไตย มันไม่ได้เรื่อง ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แต่ที่ข้าพเจ้ารับผิดชอบนี้เพื่อจะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ นับตั้งแต่นั้นมา ใครก็แตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้ แล้วจอมพลสฤษดิ์ก็เอาประเพณีพิธีกรรมตั้งแต่ก่อนรัชกาลที่ 5 มาใช้ ต้องหมอบกราบ ต้องคลานเข้าไป พิธีกรรมต่างๆ
เรื่องนี้ รัชกาลที่ 5 ท่านทรงสั่งเลิกหมดแล้วนะครับ เมื่อบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 เมื่อพระชนม์ครบ 20 หลังจากทรงลาผนวชแล้ว ท่านประกาศเลยครับ พระปฐมวาจาภาษิต ตั้งแต่นี้ต่อไป ห้ามคลานเข้าเฝ้า ห้ามกราบห้ามกราน ให้ยืนขึ้นเฝ้าเสมอกันหมด เป็นเช่นนี้มาโดยตลอดจนถึงปี 2500
จอมพลสฤษดิ์มารื้อฟื้นเพื่ออะไร เพื่อใช้สถาบันพระมหากษัตริย์มอมเมาคน แล้วยิ่งตอนหลังนี่ยิ่งเลอะเทอะ ใช้คำว่าพระราชอำนาจ พระราชอำนาจ มาจนถึงตอนหลัง เรารักในหลวง เราจะต่อสู้เพื่อในหลวง ผมก็ไม่แน่ใจว่า รักกันยังไง
อันที่จริง หากจะต่อสู้ เราควรต่อสู้เพื่อราษฎร ให้ราษฎรกินดีอยู่ดี หรือถ้าเรารักในหลวง เราก็ต้องกล้าพูดในสิ่งที่เป็นความจริงสิครับ เพราะในศาสนาพุทธสอนว่าคนที่รักกันจริงๆ คือเป็น กัลยาณมิตร ซึ่งต้องกล้ากล่าวเตือนในสิ่งซึ่งคนถูกเตือนไม่อยากจะได้ยิน ผมไม่เคยเห็นนะ ไอ้พวกที่รักในหลวง ไม่เคยมีใครพูด
แต่การกล่าวเตือนบุคคลชั้นสูง หรือผู้มีฐานันดรสูงกว่านั้น จะมีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร
นี่ไงครับ เราเข้าใจผิด ไอ้ฐานันดร มันเป็นสัญลักษณ์ของศักดินา ขัตติยาธิปไตย ซึ่งปี 2475 เลิกไปหมดแล้ว เพราะก่อน 2475 เจ้าขึ้นศาลรับสั่ง ไม่ใช่ศาลธรรมดานะครับ เมื่อเจ้าท่านถูกจับ ก็ไปขังสนมในวังจะใส่ตรวน ก็มีตรวนปิดทองมาถวาย ใส่พานเอาไว้ เจ้าก็เป็นพิเศษจากคนธรรมดา ไม่เหมือนกันเลยนะครับ
สิ่งเหล่านี้ จอมพลสฤษดิ์ได้ทำขึ้น ตอนนั้นเป็นเผด็จการ จริงๆ มันตั้งแต่ก่อน 2500 เสียอีก คือตั้งแต่ 2490 เมื่อจอมพลผิน (ชุณหะวัณ) ยึดอำนาจรัฐประหาร ทำลายประชาธิปไตยครั้งแรก อาจารย์ปรีดี (พนมยงค์) ถูกถีบออกไปจากบ้านจากเมือง นักการเมืองที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตยถูกฆ่าเป็นระลอกๆ รวมถึง หะยี สุหลง ที่ปัตตานีด้วย อันนี้เป็นพื้นฐานเลยนะครับที่ทำให้เกิดความรุนแรงในเวลานี้ เพราะเราไปยึดอำนาจอย่างไม่ชอบธรรม
เพราะอำนาจต้องชอบธรรม อำนาจที่ชอบธรรม ต้องโต้เถียงกันได้ วิพากษ์วิจารณ์กันได้ ปรึกษาหารือกันได้ พอคุณบอกว่าคนนี้ศักดิ์สิทธิ์ คนนั้นสูงส่ง วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ก็เสร็จเลยครับ ไปไม่ได้หรอก
จอมพลสฤษดิ์ เป็นคนที่เลวร้ายมาก และคนที่เลวร้ายกว่าจอมพลสฤษดิ์มีอยู่คนเดียวครับ คือ นักการเมืองในเวลานี้ เพราะสฤษดิ์นั้น คนรู้ว่าเขาเป็นเผด็จการ เป็นทหาร เขาโกงกินอย่างเปิดเผย เขานุ่งผ้าขาวม้าแดง มีเมีย บ้ากามอย่างเปิดเผย เขากดขี่ผู้คน แต่นักการเมืองคนนี้ใช้วิธีหลอกลวงผู้คน สามารถชนะเลือกตั้งแทบทั่วประเทศ การชนะเลือกตั้งก็ใช้วิธีฉ้อฉล ซึ่งแนบเนียน ตอนนี้มันเริ่มเปิดเผยออกมาทุกทีแล้วนะครับ
เมื่อจอมพล ป. โกงเลือกตั้งปี 2500 คุณเผ่า (ศรียานนท์) โกงเลือกตั้งปี 2500 ไม่กี่วัน นักศึกษาประชาชนก็เดินขบวน จอมพล ป.ต้องหนีไป นี่นักการเมืองเกือบ 3 ปีแล้วนะครับ แสดงว่าเขาแนบเนียนกว่า แต่เขาปกครองเกือบจะเหมือนจอมพลสฤษดิ์เลยนะครับ ใช้วิธีการรุนแรง ภาคใต้นี่เป็นตัวอย่างเลย แล้วไม่ใช่ภาคใต้อย่างเดียว ยาบ้ายาม้า เขาเอาคนไปฆ่าทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ไม่รู้ตั้งกี่พัน ชาวบ้านก็เห็นดีเห็นงามด้วย
อย่าลืมนะว่า สมัยจอมพลสฤษดิ์ ก็เช่นเดียวกันนะครับ ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่ผู้เดียว ไฟไหม้ เอาคนไปยิงเป้า แน่นอน คนที่ไม่เห็นด้วยไม่กล้าพูด เช่นเดียวกันกับยาบ้ายาม้า โอ ท่านยอดเลย ผมบอกว่าถ้าเป็นลูกคุณ คุณจะว่ายอดมั้ย เพราะบ้านเมืองปกครอง มันต้องมีขื่อมีแป ต้องมีกฎหมาย และถ้าเขาผิดจริงก็ต้องไปขึ้นศาล
วิธีการของนักการเมืองคนนี้แบบเดียวกับสฤษดิ์เลย แต่สฤษดิ์โกงกินเพียงเพื่อตัวเอง เพื่อทหารและพรรคพวกของตนเอง แต่กรณีของนักการเมือง โกงกินโดยบริษัทพรรคพวกตัวเอง ซึ่งเป็นบรรษัทข้ามชาติ สมัยสฤษดิ์ยังไม่มีนะครับ ตอนนี้เขาทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของเขา ติดต่อกับพม่า ไปเมืองจีน สยบยอมต่อจีน ไปอเมริกา สยบยอมอเมริกา แล้วที่ปฏิเสธว่าไม่จริง จริงนะครับที่มีคุกอเมริกันอยู่ในเมืองไทย นี่จริงที่สุดเลย เขายอมทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของบรรษัทเขา ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองเรา เพราะการจับคนจากอาหรับมาไว้ที่นี่ แล้วพวกอาหรับเขาจะไม่เล่นงานเราหรือครับ
ดังนั้น นักการเมืองคนนี้อันตรายกว่าสฤษดิ์เยอะ อย่างน้อยสฤษดิ์ก็มีจิตสำนึกในการรักบ้านรักเมือง แล้วรักในหลวง สฤษดิ์ก็รักจริงนะ แม้จะเป็นเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของเขา แต่คนนี้ไม่รักในหลวงเลย อันนี้พูดกันอย่างไม่เกรงใจ ดังนั้นที่มีความเคลื่อนไหวรักในหลวงออกมา ก็เพื่อกระทบเขาโดยตรง
คุณต้องเข้าใจว่ามีฝรั่งชื่อ ดันแคน ที่มหาวิทยาลัยลีดส์ ไปพูดชัดเจนเมื่อคราวประชุมไทยคดีศึกษาสากล ที่มหาวิทยาลัยนอร์ธเทิร์น อิลลินอยส์ บทความก็มีปรากฏนะครับ ระบุชัดเจนเลยว่าคนนี้ต้องการจะท้าทายในหลวง โดยเฉพาะทางภาคใต้ จึงทำให้มีการออกมาพูดถึงเรื่องพระราชอำนาจกันมาก
แต่ในเวลาเดียวกัน การที่มีคนออกมาอ้างว่า รักในหลวง ก็ทำให้น่าเป็นห่วงสถานการณ์นี้เหมือนกันว่า อาจจะเลอะเทอะไปกันใหญ่ ?
ถ้าคุณรักในหลวง ก็ต้องถือว่าพระเจ้าแผ่นดินในระบอบรัฐธรรมนูญ เรารักท่าน เทิดทูนท่าน อย่าไปดึงท่านลงมา ตอนนี้ทุกฝ่ายพยายามดึงท่านลงมา อันนี้อันตรายมาก
สอง ถ้าเผื่อจะรักกันอย่างจริงจัง ก็ต้องมองว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จะอยู่ได้อย่างไร หมายความว่า หนึ่ง-ต้องเป็นตัวนำทางจริยธรรม สอง-จะต้องไม่มาข้องแวะในทางเศรษฐกิจ เพราะก่อนจอมพลสฤษดิ์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ รัฐบาลดูแล ที่ในกรุงเทพฯ 30 เปอร์เซ็นต์ของสำนักงานทรัพย์สินฯ นะครับ จอมพลสฤษดิ์ยกถวายไป
ในทางนิตินัย รัฐบาลควบคุมอยู่ แต่ในทางพฤตินัย สำนักงานทรัพย์สินฯ อยู่เหนือรัฐบาล แล้วคุณจิรายุ (อิศรางกูร ณ อยุธยา) ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินเป็นประธานธนาคารไทยพาณิชย์ แล้วสำนักงานทรัพย์สินฯ ไล่คนออกเหมือนหมูเหมือนหมา เพื่อจะสร้างคอนโด เพื่อจะสร้างอะไรต่างๆ อันตรายมากๆ ครับ เพราะคนเช่าที่ทรัพย์สินฯ อยู่ ก็เหมือนเช่าที่วัดน่ะ โอเค คุณอาจจะว่าเอาเปรียบวัด เอาเปรียบสำนักงานทรัพย์สินก็ได้ แต่ไล่ไปแล้ว คนเหล่านี้จะรู้สึกอย่างไร
ถ้าคุณรักในหลวง ต้องเปลี่ยนสำนักงานทรัพย์สินให้รัฐบาลดูแล ไม่ควรให้พระองค์ท่านมายุ่งเกี่ยว แล้วพระองค์ท่านเอง ทรงประหยัดมัธยัสถ์นะครับ เรียบร้อยมากในเรื่องเงินเรื่องทอง แต่คนที่อ้างว่ารักท่าน คนที่รับใช้ท่าน จะเอาเงินมาใช้กัน โครงการต่างๆ ตรวจสอบได้มั้ย เกรงว่าจะเป็นเรื่องเสียระยะยาว เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกว่าทุกอย่างต้องโปร่งใส
ประชาชนจึงควรเร่งทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ให้ความสนใจเรื่องนี้มากขึ้น ?
โดยเฉพาะในประเด็นด้านจริยธรรม เวลานี้ รัฐบาลขาดจริยธรรมแทบทุกอย่าง ศีลข้อที่หนึ่ง ฆ่าคนเป็นว่าเล่น ศีลข้อที่สอง โกงผู้คนเป็นว่าเล่น ศีลข้อที่สาม อาจจะไม่วุ่นวายในทางกาม เหมือนจอมพลสฤษดิ์เท่าไหร่ แต่ขณะเดียวกัน คุณก็เปิดโอกาสให้มีวัฒนธรรมบริโภค มีการโปรโมทในเรื่องกามเรื่องราคะทั่วไปหมด
ศีลข้อที่สี่ โกหกตอแหลอยู่ตลอดเวลา ทีคนอื่นเขาพูดขัดกับตัว ก็พยายามไม่ให้เขาออกความเห็น ศีลข้อที่ห้า การมอมเมา ไม่ได้หมายถึงเบียร์เหล้าเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการมอมเมาโดยลัทธิอุดมการณ์ของรัฐบาล เช่น ต่อไปนี้ต้องหาเงินอย่างเดียว การวิจารณ์ทางสังคมศาสตร์ต้องเลิก ต้องวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อจะหาเงิน นี่ก็คือการมอมเมาทั้งนั้นเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะมองไปที่ไหน เราก็ต้องมองไปที่ผู้ซึ่งสามารถนำได้ในทางจริยธรรม ผมว่าอันนี้คือสถาบันพระมหากษัตริย์ ประเสริฐสุด เป็นแสงสว่าง เป็นชัยธรรม แต่ท่านจะต้องไม่เข้าข้างใคร จะเป็นเช่นใดก็ตาม พระราชอำนาจต้องมาจากท่าน ไม่ใช่ใครไปพูดแทนท่าน โดยเฉพาะในกรณีฝ่ายอธรรมสู้กัน กรณีของทักษิณกับสนธิ ฝ่ายอธรรมสู้กันนะครับ
นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ภาคประชาชนยังไม่ได้ขับเคลื่อนออกมาร่วมกับสนธิอย่างชัดเจน ?
มันอยู่ที่คุณถามว่าภาคประชาชนคือใคร ถ้าภาคประชาชนคือองค์กรพัฒนาเอกชน สมัชชาคนจน หน่วยงานต่างๆ เช่น เชียงใหม่ที่เดินขบวนกันมา คนพวกนี้ ไม่ได้เล่นกับทักษิณ หรือสนธิ พวกนี้เขาฉลาดพอที่จะไม่ลงมาเล่นด้วย อันนี้ว่าตามที่ผมเข้าใจนะ ผมอาจจะผิดก็ได้
จากกรณีพระราชอำนาจ มีคำถามโยงถึงเรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย อาจารย์เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาแล้ว?
เรื่องหมิ่น นี่ พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงรับสั่งเองนะว่า กฎหมายนี้มันเลอะเทอะ ใช้ไม่ได้แล้ว ท่านรับสั่งกับคุณสนั่น ขจรประศาสน์ บอกให้เลิกเลย สมัยเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย
ตัวผมโดนคดีนี้มา 2 ครั้งแล้ว ปี 2527 ตอนนั้น (พล.อ.)อาทิตย์ กำลังเอก ต้องการจะเอาผมเป็นเครื่องมือเพื่อจะล้ม (พล.อ.) เปรม ติณสูลานนท์ อันนี้ชัดเจนเลย ... ครั้งที่ 2 (พล.อ.)สุจินดา คราประยูร ยึดอำนาจ ผมเล่นงานสุจินดา เขาหาว่าผมหมิ่นเบื้องสูง แล้วในที่สุด ผมชนะคดี
คดีหมิ่นนี่เสียในหลวงนะครับ เพราะไอ้พวกนักการเมืองใช้เพื่อประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น เวลาไม่พอใจก็หาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อย่างคุณไม่พอใจธนบัตร เขาก็หาว่าคุณหมิ่นแล้ว อันตรายมาก
เหมือนสมัยก่อน พวกฝรั่ง เอะอะก็หาว่าหมิ่นพระผู้เป็นเจ้า ถูกตัดลิ้น ถูกจับขัง ผมว่ามันหมดสมัยแล้ว การพูดกระทบไปถึงในหลวง ไม่ว่าเราจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ก็มีกฎหมายหมิ่นประมาทอยู่แล้ว เพราะคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ บทลงโทษร้ายแรงมาก ติดคุก 15 ปีหัวโตเลย ควรจะเลิก ไม่ควรจะมี แต่นักการเมืองส่วนใหญ่เป็นคนไม่มีกึ๋น พวกนี้จะไม่กล้าท้าทายความเป็นไปของระบบ เพราะระบบที่เป็นอยู่มันช่วยให้คนข้างบน เอาเปรียบคนข้างล่าง แล้วพวกนักการเมืองตราบใดที่อยู่ข้างบน เขาเห็นว่ากฎหมายพวกนี้ช่วยเขา จนหลุดออกจากอำนาจเมื่อใดถึงจะรู้สึก อย่าง เสธ.หนั่นทุกวันนี้ถึงรู้สึกว่าลูกตัวถูกรังแกอย่างไรบ้าง
คนเราต้องไม่มีอำนาจถึงจะรู้สึก กฎหมายทั้งหมดเป็นกฎหมายที่ช่วยคนมีอำนาจ เป็นกฎหมายช่วยคนรวย เพราะฉะนั้น ถ้าไม่จนไม่รู้สึกหรอก แต่เขาลืมไปว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศนี่จน และที่น่าเศร้าก็คือ มันเอาคนจนกับคนจนมาเอาเปรียบกันเอง อย่างพลตำรวจนี่คนจนนะครับ แต่พลตำรวจก็จะจับพวกตุ๊กตุ๊ก แท็กซี่ ซึ่งจนด้วยกัน และมาจากอีสานด้วยกัน ไม่เห็นมันกล้าไปจับรถเบนซ์เลย
สุดท้าย อยากทราบทัศนคติของอาจารย์ในเรื่องคุณอุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มีความคิดจะนำวัดไปไว้บนห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีคนวิพากษ์วิจารณ์กันมาก?
ถ้ามองตามความเป็นจริง สิ่งที่คุณอุไรวรรณพูดไม่แปลกประหลาดนะครับ เพราะสถาบันพุทธในเมืองไทยกลายเป็นร่างทรงของลัทธิบริโภคนิยมไปแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อไปบริโภคกันตามห้างสรรพสินค้า ก็ไปบริโภคศาสนาพุทธด้วย เป็นศาสนาพุทธที่เป็นสถาบัน ถือเป็นการมอมเมาอย่างหนึ่ง มีของขลัง ของศักดิ์สิทธิ์ พุทธพาณิชย์ พระเครื่องพระอะไรต่างๆ
ยกตัวอย่าง อย่างหลวงพ่อคูณ ซึ่งเป็นที่นับถือกว้างขวางมาก แต่สิ่งที่หลวงพ่อคูณทำนั้นผิดสมณวิสัยทั้งนั้น ผมรักท่านนะ เคารพท่าน แต่สิ่งที่ท่านทำมันผิดครับ เพราะท่านเอาพระเครื่องมาขาย ไม่ใช่หน้าที่ของพระเลย แล้วก็โฆษณา ท่านอาจจะไม่ได้ทำเอง แต่ท่านก็ยอมให้ทำ เช่น ว่าศักดิ์สิทธิ์ ถูกหวย เป่าหัว มันผิดหมดเลย แล้ววิธีนี้มันเป็นบริโภคนิยม โดยไม่ต้องเอ่ยถึงธรรมกายนะครับ ซึ่งค้าขาย เซ็งลี้กันหมด ดังนั้น ถ้าจะเอาวัดไปขึ้นห้างสรรพสินค้าก็คงไม่แปลกประหลาดอะไร นี่พูดกันตรงไปตรงมา เพราะเนื้อหาของศาสนาพุทธจางหายไปเกือบหมดแล้ว
แม้กระทั่งหลวงตามหาบัว ซึ่งประกาศตัวว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่เห็นมีใครมีจุดยืนอะไรเลย มีผมพูดอยู่คนเดียวว่าถ้าเผื่อว่าท่านประกาศตัวเป็นพระอรหันต์ เท่ากับท่านหมดความเป็นพระแล้ว เพราะอวดอุตริมนุสธรรม ปาราชิกมี 4 ข้อนะครับ ข้อที่หนึ่ง เสพเมถุน ข้อที่สอง ฆ่าคน ข้อที่สาม ลักทรัพย์เกิน 1 บาท ข้อที่สี่ อวดอุตริมนุสธรรม (การอ้างคุณวิเศษซึ่งไม่มีในตน) หลวงตาบัวบอกว่าเป็นอรหันต์ เป็นอรหันต์แล้วมาเล่นงานทักษิณได้อย่างไร อรหันต์แล้วมาอยู่ฝ่ายสนธิได้อย่างไร มันเลอะถึงขนาดนี้ วุ่นวายมากเลย
เพราะฉะนั้น ก็ดีนะครับ (แค่นหัวเราะ) จะได้เอามาขายกินกันเลย แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดนะครับ สมัยคุณสุขวิช รังสิตพล เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษา (ยุคพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) วันหนึ่งเขานั่งเรือบินไปอุบล โดยบังเอิญนั่งติดกับผม โอ เจอะอาจารย์ดีใจมากเลย อยากถามอาจารย์สักคำหนึ่งว่าวัดทั้งหมดนี้ กระทรวงศึกษาควรจะยึดมา แล้วให้พระทั้งหมดไปอยู่ที่พุทธมณฑล สมเด็จพระสังฆราชมีที่ประทับแล้ว ไปเฝ้าสบาย เวลานี้ ผมไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชที โอ้โห หมาก็เห่า ผมก็ต้องไปรอ มันไม่ถูกต้องเลย
คือพวกนี้จะคิดแบบนี้ เพราะวัดไม่ถูกต้อง ก็จับไปไว้ในศูนย์การค้า จับไปไว้ที่พุทธมณฑล ผมก็เลยบอกว่า คุณสุขวิช ไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์หรือครับ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจที่สุด เผด็จการที่สุด สภาอยู่ในอำนาจท่าน แต่ท่านพังเพราะ พ.ร.บ.พุทธมณฑลบุรี ท่านจะเอาพระไปไว้ที่นั่นทั้งหมดเลย ส.ส.ก็เลยบอกว่าแล้วใครจะไปบิณฑบาตที่ไหนกัน พังแท้ๆ ต้องลาออก
แล้วคนเหล่านี้ คิดว่าตัวเองรู้เรื่องศาสนาพุทธ เรื่องวัฒนธรรมไทย รวมทั้งคุณทักษิณด้วย ไม่รู้ทั้งนั้น น่าสงสาร.
<< Home