pin poramet's blog

Enjoy the world of bloggers !!!

Tuesday, May 30, 2006

หนังที่ 'คนอย่างทักษิณ' ต้องดู

นิตยสารเล่มหนึ่งที่ผมเป็นแฟนประจำระดับซื้อทุกเล่มคือ Bioscope นิตยสารภาพยนตร์อ่านสนุกมากสาระของคุณธิดา ผลิตผลการพิมพ์ และคุณสุภาพ หริมเทพาธิป

เมื่อช่วงสงกรานต์ได้อีเมลจากทีมงาน Bioscope แบบไม่คาดฝัน จึงรู้สึกตื่นเต้นดีใจตามประสาแฟนหนังสือคนหนึ่ง

เนื้อหาในอีเมลเป็นการเชิญชวนร่วมสนุก โดยให้ช่วยกันแนะนำหนังให้นายกทักษิณดูพลางๆ เพลินๆ ระหว่างเว้นวรรค

หนังสือวางแผงเดือนพฤษภา ปกโมนาลิซ่าตามกระแสดาวินชี โค้ด เรื่องเด่นในเล่มคือสกู๊ป 50+ หนังที่ 'คนอย่างทักษิณ' ต้องดู มีผู้คนหลากหลายวงการช่วยกันนำเสนอ หนังดี ที่นายกควรดู กันคนละเรื่องสองเรื่อง พร้อมเหตุผลประกอบสั้นๆ อ่านกันจุใจกว่ายี่สิบหน้า

แม้ว่าอ่านยังไม่ทันจบ หนังสือยังไม่ทันหมดแผง ท่านนายกก็เลิกเว้นวรรคกลับมาทำงานหน้าตาเฉยซะงั้นก็ตามที

...........

นี่เป็นหนังสองเรื่องที่ผมส่งไปร่วมสนุกกับทีมงาน Bioscope

1. One Flew Over the Cuckoo’s nest

การใช้ชีวิตภายใต้ระบอบทักษิณมาพักใหญ่(นานเกินพอ!)ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเวลานึกถึงคุณทักษิณ

แม้เรื่องราวจะเกิดขึ้นในโรงพยาบาลบ้า แต่สะท้อนภาพความเลวร้ายของเผด็จการอำนาจนิยมได้อย่างดี ดูหนังเรี่องนี้แล้วเห็นภาพของผู้นำน่ากลัวในคราบหัวหน้าพยาบาล(แม้จะมีหน้าที่บำบัดคนจิตป่วย แต่เอาเข้าจริง กลับควรต้องถูกบำบัดไม่ต่างจากคนบ้า) ที่ท่องคาถารักษากติกา กติกาที่มีไว้รักษาอำนาจของตัว ไร้สาระ ตายตัวแข็งขืน กดขี่ และบั่นทอนจริยธรรมของผู้ถูกปกครอง ให้ชินชาและยอมรับสภาพอย่างเชื่องๆ

ชะตากรรมของเสรีชน ที่ตั้งคำถามและต่อสู้กับผู้มีอำนาจ อาจจบลงด้วยโศกนาฏกรรม แต่อย่างที่หนังเรื่องนี้สอนเรา อย่างน้อยคุณค่าก็ยังอยู่ตรงที่ได้พยายามแล้ว และเมล็ดพันธุ์แห่งเสรีภาพไม่มีวันตาย !


2. Rashomon

อัปลักษณะประการหนึ่งของระบอบทักษิณคือ ความพยายามสถาปนา ‘ความจริง’ ของตนเป็น ‘ความจริง’ ส่วนรวม พยายามทำตัวเป็นผู้ผูกขาด ‘ความจริง’ เพียงหนึ่งเดียว

หนังที่ตั้งคำถามลึกซึ้งด้านปรัชญาอย่าง ความจริงคืออะไร ? มีหนึ่งเดียวหรือไม่? มีอยู่แล้วให้เราค้นหา หรือ ถูกสร้างขึ้น? ทั้งตีแผ่กระบวนการผลิตสร้าง ‘ความจริง’ รวมถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์อย่างถึงกึ๋น โดยเฉพาะธรรมชาติด้านมืดของความเป็นมนุษย์ ที่ปลิ้นปล้อน หลอกลวง อ่อนแอ ต้องการการยอมรับนับถือ และเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ก็คือ Rashomon เรื่องนี้

.........

แล้วท่านละ คิดถึงหนังเรื่องไหนบ้างสำหรับ 'คนอย่างทักษิณ'!

Wednesday, May 24, 2006

รายงานตัว

จริงๆ วันนี้กลับบ้านเร็ว (หมายถึงก่อนสามทุ่ม) เลยนอนอ่าน 'กระบี่เย้ยยุทธจักร' ฉบับพิมพ์ใหม่ของสยามสปอร์ต (แพงจริง) หมายจะนอนเร็ว ปิดไฟนอนตอนใกล้ตีหนึ่ง จะหลับอยู่แล้ว ภูมิแพ้ก็กำเริบเสิบสาน สู้รบกับมันพักใหญ่ หมดทิชชู่ไปหลายแผ่น(ขนาดกินยาแล้วนะเนี่ย) จนตาสว่าง เลยมาเปิดคอมอ่านอะไรเล่น จู่ๆ ก็นึกครื้มเกิดอารมณ์อยากเขียน blog ขึ้นมา

จะว่าไป ผมเองก็หายจากวงการ blog ไปนาน ทิ้ง blog ไว้จนฝุ่นจับ ด้วยเหตุผลหลายประการประกอบกัน

เริ่มต้นจากเอาเวลาไปทำหน้าที่ บก. open online เป็นส่วนใหญ่ เริ่มต้นเตรียมกันก็ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปีที่แล้ว เปิดทำการจริงจังก็กลางเดือนธันวาคม ถึงวันนี้ก็ห้าเดือนกว่าเข้าไปแล้ว ก็พอถูไถทำมาได้เกินความคาดหมาย เบื้องหลังเวที ก็ใช้เวลากับมันเยอะทีเดียว โดยเฉพาะในช่วงต้น เพิ่งมาสบายเอาตอนนี้ ที่ได้กิตมาช่วยเต็มที่ขึ้น

เห็นพรรคพวกเขียนกันแล้ว ก็อยากลงมือเขียนมั่ง แต่เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการบริหารจัดการเสียมากกว่า ยังบอกกับพี่โญเลยว่า เพิ่งเข้าใจคำพูดแกเมื่อก่อน ที่เคยบอกผมว่า คนเป็น บก. มันไม่ได้เขียนอะไรดังใจอยาก บางทีต้นฉบับยังไม่ได้อ่าน(สบายๆ ชิวๆ แบบนักอ่านทั่วไป)เลย

เป็นนักอ่านนักเขียนดีแล้ว ท่านทั้งหลาย อย่าริเป็น บก.

ตลอดเวลาที่ผ่านมา โชคดีที่ได้คุณยุ้ย คนชายขอบ ยอดขยัน และป๊อก นิติรัฐ จอมออดอ้อน(สาว) เป็นสองแรงแข็งขัน ช่วยกันผลิตบทความที่เราอยากอ่าน และอยากเขียน อาศัยข้ออ้างงานยุ่ง เวลาอยากเขียนเรื่องอะไรก็มักไปยุคุณยุ้ยและคุณป๊อกให้ช่วยส่งเสียงแทน (บางเรื่องต้นฉบับก็มาเองโดยไม่ต้องยุ) ใครถามว่าช่วงที่ผ่านมา ผมมีความคิดเห็นทางการเมืองอย่างไร ก็โปรดอ่านงานของคุณยุ้ยและคุณป๊อกใน open online นั่นแหละ ดังใจเลย ประมาณนี้เลย ใช่เลย(แต่ก็มีบ้างที่ไม่โป๊ะเชะทีเดียว แต่วิธีคิดหลักๆ ไม่ต่างไม่ห่างกัน)

เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ไม่อยากหรือขี้เกียจเขียน blog เพราะมันเบื่อการเมืองเหมือนกันนะ ตามข่าวมากๆ แล้ว เอือมระอา ต้องหลบๆ ปล่อยๆ วางๆ มั่ง และไม่ได้แค่เบื่อการเมืองสนามใหญ่อย่างเดียว แต่เบื่อการเมืองในโลกไซเบอร์ด้วย โดยเฉพาะเหล่าความเห็นตามเว็บบอร์ดมั่ง ตาม blog มั่ง

จริงๆ ก็ไม่ใช่เบื่อหรือรำคาญอย่างเดียว แต่อ่านดูแล้วมันมีเศร้ามั่ง ซี้ดมั่ง ตกใจมั่ง ไม่รู้อะไรมันจะโหดร้ายเข่นฆ่า หรือเอาจริงเอาจัง กันซะขนาดนั้น ในช่วงวิกฤตการเมืองนี่ ชาวไซเบอร์นี่นับว่าโหดเหี้ยมไม่เบานะครับ ไม่สู้ครับ ไม่สู้ ขอเป็นผู้สังเกตการณ์เงียบๆ ผมไม่ใช่คอซาดิสม์ และไม่ค่อยมีปม

บรรยากาศรวมๆ มันทำให้ขี้เกียจเถียง มันไม่สนุก ผมว่าบรรยากาศมันไม่เอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างสร้างสรรค์ เพราะมันแบ่งขั้วขาวดำกันมาก เมตตาน้อย

ไม่อยากเครียดมาก สุขภาพไม่ดี ต้องหลบซ่อนตัวหน่อย เป็นจังหวะที่ต้องผ่อนของชีวิตพอดี

ช่วง 1-2 ปีหลังนี่ เจ็บตัวเพราะพิษการเมืองมาก ทำเอาบาดเจ็บ เลียแผลจนเมื่อย ตอนนี้ก็อยู่ระหว่างพักรักษาแผลใจ มิใช่อกหักจากหญิง แต่อกหักจากที่ทำงานและการทำงาน จากไข้ใจก็ลามไปสู่ไข้กาย ช่วงหลัง ร่างกายไม่แข็งแรง แขนขาชาบ่อย มือสั่น เนื้อเต้น เป็นประจำ เต้นตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างทั้งวัน ปวดเมื่อยหมดเรี่ยวแรง นอนไม่หลับ ยังไม่นับโรคภูมิแพ้ประจำตัว

เก็บตัวเขียนทีซิสจนส่งร่างให้อาจารย์ที่ปรึกษาสำเร็จ กลับมาทำงานประจำเต็มตัว เลยรีบรุดไปตรวจร่างกายชุดใหญ่ ก็ปกติดี ปรึกษาหมอ ตรวจระบบประสาท แกว่ามีปัญหาเรื่องระบบประสาท เป็นโรคประมาณรับรู้ความรู้สึกไวกว่าชาวบ้านทั่วไป เลยชาง่าย เนื้อกระตุกง่าย โรคมันเรียกโอเว่อร์หรือไฮเปอร์อะไรสักอย่าง คือถ้าร่างกายมีปัญหา มันจะรับรู้เร็วได้เร็ว และมีอาการออกมามากกว่าชาวบ้าน

สาเหตุจากอะไร ไม่รู้ หมอว่าบางคนก็เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิด บางคนก็เพราะร่างกายมีปัญหา แกจับเจาะตรวจไทรอยด์ก็ปกติ อนาคตอาจจะโดนจับเจาะไขสันหลังและสมอง ดีที่ได้คุยกับ บก.ภิญโญ เสียก่อน

จากโรงหมอ เลยไปจบที่โรงนวด

พี่โญฟังอาการแล้ว เลยพาไปนวดแผนโบราณกับลุงยงค์ แห่งสวนลุมไนท์บาซ่าดีกว่า ลองแผนไทยโบราณกันดูมั่ง เผื่อจะหาย เหมือนแกเมื่อก่อน ที่เคยเผชิญอาการคล้ายกันนี้

ลุงยงค์แกเป็นหมอมือหนัก อายุห้าสิบกว่าปี ครูพักลักจำการนวดมาตั้งแต่สิบกว่าขวบ นวดมาตลอด วันแรกเจอลุงยงค์จับดูอาการแล้วก็ว่าไม่น่าแปลกใจ เนื้อตัว แข้งขา แข็งเป็นแพ เป็นก้อน เป็นฟอง เลือดลมที่ไหนจะเดินได้สะดวกเล่า ว่าแล้วก็จัดการนวดเสียสามชั่วโมงกว่า ทำเอาร้องลั่นโรงหลายครั้ง แต่ถือคติลุงยงค์ที่ว่า 'ถ้าอยากหายก็ต้องทน' จึงกัดฟันสู้

เรื่องเจ็บช้ำระกำตัวไม่ต้องพูดถึง ระบมจนเดินกะเผลก วันรุ่งขึ้นไข้ขึ้นอีกต่างหาก (ตรงตามที่ลุงยงค์แกบอกว่า ใครไม่เคยนวด เจอของหนักเข้าไปขนาดนี้ ไข้ขึ้นแน่ ให้กินยารอไว้เลย) อีกไม่กี่วันต่อมา น่องขวานี่ รูขุมขนอักเสบ ตุ่มขึ้นแดงเลย

แต่หายครับพ่อแม่พี่น้อง เนื้อเต้นเนื้อกระตุก แขนขาชาตึง นี่หายครับ กินยาหมอไม่หาย เจอมือลุงยงค์กลับอาการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แทบไม่มีอาการชาอาการเนื้อเต้นเลย ตัวเบาขึ้นเยอะ (แต่น้ำหนักยังเยอะ พุงยังใหญ่ เหมือนเดิม)

ช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา เลยเข้าคอร์สนวดแผนโบราณบำบัดโรคกับลุงยงค์อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง ครั้งหลังๆ ก็ไม่ค่อยเจ็บแล้ว นอกจากจังหวะแกปล่อยของมั่ง หรือบางส่วนของร่างกายที่อาการยังไม่ดี แต่ร่างกายดีขึ้นมากทีเดียว เสียดายที่หมอแผนปัจจุบันยังห้ามออกกำลังกาย เพื่อไม่ให้ขัดกับยารักษาโรคที่ให้กิน เลยไม่ได้ยืดแข็งยืดขา ให้ยืดหยุ่นกว่านี้

เขียนเล่นๆ เพลินๆ หายอยาก แล้วกลับมาง่วงนอนใหม่แล้ว จะตีสี่แล้ว อย่างที่บอก ผมกลับมาทำงานเต็มตัวแล้วนะครับ เทอมก็ใกล้จะเปิดแล้ว แถมได้สอนแปดโมงเช้าอีก ทรมานคนใช้ชีวิตราตรี (หมายถึงทำงานดึก ไม่ใช่เที่ยวดึกนะ) อย่างเราจริงๆ มีเวลาอีกไม่กี่อาทิตย์สำหรับปรับเวลานอนให้เหมือนมนุษย์โลกทั่วไป

เทอมนี้สอนตัวเดียว วิชา เศรษฐศาสตร์การเงินระหว่างประเทศ สอนไปพลาง ก็แก้ทีซิสไปพลาง ร่างเสร็จแล้ว ส่งแล้ว อาจารย์ที่ปรึกษาแก้มาบ้างแล้ว เสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ก็ค่อยลาพักร้อนกลับไปดีเฟน ส่วนเทอมหน้า เวรกรรมยังมีอยู่จริง เพราะสอนแปดโมงเช้าอีกแล้ว คราวนี้แปดโมงรังสิตเลยครับพี่น้อง เทอมหน้าสอนประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก และสังคมกับเศรษฐกิจ

ไว้วันหน้าจะมาบ่นต่อแล้วกันนะครับ ไปนอนก่อน โชคดีทุกท่าน และหวังว่าแฟน blog ทุกท่าน (ถ้ายังคงมีอยู่) คงสุขกายสบายใจกันถ้วนทั่ว

ด้วยความคิดถึง