pin poramet's blog

Enjoy the world of bloggers !!!

Saturday, July 23, 2005

โรคภูมิแพ้

ผมมีโรคประจำตัวอยู่โรคหนึ่งคือ โรคภูมิแพ้

สมัยอยู่เมืองไทยก่อนมาเรียนต่อที่บ้านนอก อาการกำเริบเสิบสานขนาดหนัก หมดเงินรักษาไปหลาย เปลี่ยนหมอก็หลายหมอ รักษายังไงก็ไม่ยอมหายเสียที กระทั่งเกิดดวงตาเห็นธรรม เมื่อคุณหมอท่านหนึ่งประกาศเสียงดังฟังชัดว่า หนทางเดียวที่ผมจะหายขาดได้ คือย้ายออกไปจากกรุงเทพซะ !

บังเอิญผมต้องจากสยามเมืองดุไปฝึกวิชาที่บ้านนอกพอดี

มาอยู่ที่บ้านนอกช่วงแรก ไม่มีอาการภูมิแพ้ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เพราะที่นี่อากาศดี ไร้ฝุ่น ไร้ควันพิษ ฟ้าใสสีฟ้าสด

แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อผมหวนกลับมารอบนี้

กลับบ้านนอกรอบนี้ ภูมิแพ้รังควานผมตั้งแต่วันแรกที่เครื่องบินแตะพื้นจนถึงปัจจุบัน เดิมคิดว่าเป็นเพราะอากาศหนาวจัดช่วงหน้านรก แต่แล้ว แม้ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ จนถึงหน้าร้อน อาการภูมิแพ้ก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่กับผมไม่หาย เป็นที่น่ารำคาญใจยิ่งนัก

ผมเป็นภูมิแพ้ที่ระบบทางเดินหายใจ เมื่อร่างกายปะทะเกิดอาการภูมิแพ้ เยื่อจมูกก็จะบวม เหลือช่องสำหรับหายใจนิดเดียว หายใจลำบาก น้ำมูกคั่งอยู่ข้างใน กว่าจะระบายออกมาได้ก็ยากเย็น นานวันเข้า ก็สะสมหมักหมม จนไซนัสอักเสบ พาลปวดขมับได้ง่ายๆ

ในรอบห้าเดือนมานี้ ผมเลยต้องเดินเข้าเดินออก Health Service Center หลายรอบ

คุณหมอบอกว่า ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากที่สุดของคนเป็นภูมิแพ้ ผู้ป่วยที่เข้ามารักษาเพิ่มจำนวนสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ กระทั่งตัวหมอเอง ที่เป็นภูมิแพ้เหมือนกัน ยังบอกว่า ปีนี้อาการเขาแย่ที่สุดในรอบสิบปีทีเดียว

บริเวณบ้านนอกของผมมีภูมิประเทศเป็นแอ่ง ล้อมรอบด้วยภูเขาสี่ด้าน สิ่งต่างๆตามธรรมชาติสารพัดที่จะทำให้คนแพ้เลยถูกพัดพาจากทั่วทุกด้านมากองรวมกันที่แอ่งตรงนี้

วันนี้ผมก็เพิ่งไปหาหมอมาเพื่อเกาะติดอาการ หลังจากสัปดาห์ที่แล้ว คุณหมอเปลี่ยนยาชุดใหม่มาให้ลอง เพราะยาชุดเก่าที่กินมาหลายเดือนไม่ได้ทำให้อาการดีขึ้นดังหวัง ยาชุดใหม่นี่ทั้งเยอะกว่า เม็ดใหญ่กว่า ที่สำคัญโคตรแพงกว่า !

ขณะที่เขียน blog อยู่นี้ ก็ยังไอแห้งๆ ไป สั่งน้ำมูกไป เสลดติดคออยู่

เดิมอยู่กรุงเทพ ผมรู้ว่าผมแพ้ฝุ่น แพ้อากาศเสีย เพราะขึ้นรถเมล์ขาวแดงทีไร เป็นต้องได้เรื่อง อาการภูมิแพ้กำเริบง่ายดาย หลังๆ เลยต้องดัดจริต แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เลี่ยงฝุ่นเลี่ยงควันพิษได้เป็นเลี่ยง ถ้าช่วงไหน มีรายได้ไหลเข้ามาก ก็นั่ง Taxi เดินทาง ช่วงไหนได้แต่เงินเดือนปกติ ก็นั่งรถเมล์แอร์ ไม่งั้นไม่คุ้มค่ายา หากไม่จำเป็นก็ไม่ขึ้นรถเมล์ขาวแดง นอกจากเดินทางสั้นๆ ไม่กี่ป้าย

แต่ที่บ้านนอกนี่ ยังงงๆ อยู่ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองแพ้อะไร ต่อสู้กับอะไรอยู่ เลยไม่รู้จะป้องกันตัวเองอย่างไร ไม่รู้ว่าควรจะหลีกเลี่ยงอะไร พอไม่รู้จักศัตรูก็แก้ปัญหาไม่ได้ อัดยาเข้าไปมากๆ ก็ได้แค่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เปลืองเงิน แถมนานเข้าอาจจะดื้อยาได้ง่ายๆ คราวนี้อาจเป็นแนวร่วมให้กับพี่ๆ เชื้อโรคไปอีกโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่คุณหมอหวังดีแท้ๆ แต่หวังดีอาจกลายเป็นร้าย

คุณหมอว่าคราวก่อนก็ให้ยาแรงขึ้นแล้ว ทำไมยังไม่หายไออีก (แต่จมูกโล่งขึ้น มีทางหายใจกว้างขึ้นแล้ว) คราวนี้แกเลยออกใบสั่งยาใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ฉุกเฉิน เอ๊ย เรื้อรังของโรคภูมิแพ้ผม แกว่า ตอนนี้อาการผมไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ต้องเพิ่มยาฆ่าเชื้ออีกตัว วินิจฉัยแล้วก็สั่ง Antibiotic ให้กิน เรียกว่าเล่นของหนักขึ้นอีก

ไอ้ผมก็พวกไม่ค่อยชอบกินยา และจริงๆ ก็ไม่คิดว่าตัวเองติดเชื้อ เพราะหมอคนเก่าเคยเทสต์แล้วไม่พบว่าติดเชื้อในคอ แต่ไม่รู้จะเถียงยังไง เพราะเดี๋ยวแกด่าเอาว่า รู้น้อยอย่าพูด แล้วพาลด่าต่อว่า ไม่รักตัวเอง ไม่รักครอบครัวที่ต้องเห็นเราต้องลำบากไอค่อกๆแค่กๆทั้งปี ต้องมาทนเห็นภาพผมน้ำมูกคั่งตลอด

ผมก็เลยจนใจต้องรับยามากิน ได้แย้งหมอไว้บ้าง แต่ก็ไม่รู้จะทำไงได้มากกว่านี้ แกไม่ค่อยฟังเท่าไหร่ว่าผมเองต้องการอะไร อยากกินยาหรือเปล่า แกว่าให้เชื่อแกเหอะ เดี๋ยวหายๆ

ขณะเดินกลับบ้าน ผมก็นึกเล่นๆ ว่า แล้วถ้าไม่หาย หมอจะรับผิดชอบมั้ยวะ สุดท้ายก็ลอยนวลทุกที เผลอๆ ถ้าทำเราแพ้ยาอีก จะรับผิดชอบไหมเนี่ย ในอนาคตยิ่งรักษาลำบากขึ้นอีก

นึกไปนึกมา ก็ระลึกคำพูดอาจารย์ท่านหนึ่งที่เคยแนะนำผมไว้

แกว่า ทางออกที่ดีในอุดมคติน่าจะต้องแก้ปัญหาด้วยการออกกำลังกาย สร้างภูมิคุ้มกันพื้นฐาน ให้ร่างกายแข็งแรงไม่ว่าจะเผชิญกับอะไรก็ตาม วิธีนี้น่าจะดีกับร่างกายในระยะยาวมากกว่า ผลข้างเคียงก็น้อย เสียก็แต่มันไม่เห็นผลเฉพาะหน้า รักษาอาการฉาบฉวยระยะสั้นไม่ได้เร็วทันใจ แต่ต้องอดทน อาศัยความสม่ำเสมอ เผลอนิดเดียว ขี้เกียจเมื่อไหร่ เป็นต้องนับหนึ่งใหม่

แต่วิธีนี้ มันขัดสันดานหมอ ที่เห็นโรคทีไร เป็นต้องนึกถึงยาก่อนทุกที อัดยาเข้าไป เน้นปราบโรค มากกว่าป้องกัน เน้นแก้ปัญหาที่ปลายเหตุมากกว่าขจัดเงื่อนไขไม่ให้เกิดโรค

ผมก็ไม่ได้โทษหมอหรอก ไม่ได้กล่าวหาว่าหมอนิสัยไม่ดีเลี้ยงไข้ผม ไม่ได้มีอคติกับหมอ แต่หมอก็มีสันดานหมอ เหมือนที่ครูก็มีสันดานครู ทหารก็มีสันดานทหาร นักการเมืองก็มีสันดานนักการเมือง เคยชินอะไร ทำอะไรบ่อยๆ ก็ติดไปอย่างนั้น หล่อหลอมเป็นตัวตน จนบ่อยครั้งลืมตัวกลายเป็นหุ่นยนต์เวลาตอบสนองกับสถานการณ์เฉพาะหน้า

จริงๆ แล้ว จะว่าไป การออกกำลังกายก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องยากลำบากอะไรหนักหนา แต่ที่ผ่านมาผมมักทำไม่สำเร็จ เพราะความขี้เกียจ บางทีก็คิดเข้าใจตัวเองแบบชุ่ยๆ ว่า เออ ... ยอมรับความจริงเหอะ เรามันขี้เกียจ ออกไปได้ไม่กี่น้ำ เดี๋ยวก็เลิก กินยาไปนั่นแหล่ะ

แต่ถ้านั่งตรองตอนมีสติ กลับคิดอีกแบบ เพราะถ้ามัวแต่ยอมรับความจริงว่าตัวเองมันขี้เกียจ ไม่คิดเปลี่ยนอะไรทำอะไรให้ตัวเองดีขึ้น ยอมรับมันง่ายๆซะงั้น ก็ต้องดักดานรับกรรมเผชิญภูมิแพ้ ต้องอัดยามันต่อไป จะรักษาหายหรือเปล่าก็ไม่แน่ แถมอาจเกิดผลข้างเคียง เป็นใจให้เชื้อโรคไปอีก

คิดไปคิดมา อ้าว ดันเห็นหน้าท่านนายกกับเนติบริกร(1) ดันทะลึ่งไปนึกถึงพระราชกำหนดอะไรนั่นสักฉบับหนึ่งเฉยเลย สงสัยอัดยาไปมากเกิน เลยเพี้ยนได้ซะขนาดนี้

ช่วงเจ็บไข้ได้ป่วย 1-2 อาทิตย์นี้ พักผ่อนนั่งเล่นเน็ต อ่านข่าวตามเวป อ่านกระทู้ตามบอร์ด แวะอ่าน blog ไม่รู้ทำไมช่วงนี้อาการภูมิแพ้เหมือนยิ่งกำเริบ อ่านกระทู้ อ่าน blog บางที่แล้ววิงเวียน ไอแค่กๆขื่นๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว น้ำหูน้ำตาจะไหลเอา บางทีถึงกับคลื่นไส้อาเจียนเอาเลยก็มี

ว่าแล้วก็ไปนอนดีกว่า ท่าทางจะป่วยการเมืองแทรกซ้อนอีกโรคหนึ่งแล้ว