pin poramet's blog

Enjoy the world of bloggers !!!

Wednesday, July 13, 2005

ชายผู้ดูหนังคนเดียว

ผมดูหนังคนเดียวมานานแล้ว

นานจนเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิต

มีเว้นวรรคบ้างก็ช่วงวัยรุ่น ที่บ่อยครั้งมีเพื่อนน้ำเงิน-ขาว และเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเป็นเพื่อนร่วมโรง และบางห้วงเวลาที่มี 'ใครบางคน' อยู่ข้างกาย

ผมเป็นคนชอบดูหนังมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่สมัยที่การดูหนังยังไม่กลายเป็นแฟชั่นในการฆ่าเวลาของผู้คนในห้างสรรพสินค้า, ตั้งแต่โรงหนังมัลติเพล็กซ์ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นในกรุงเทพเมืองฟ้าอมร เห็นมีก็แต่โรงหนังยืนเดี่ยว ส่วนหนังโรงเล็กก็มีอยู่บ้างไม่กี่แห่ง แต่ไม่ต้องเอ่ยถามถึงคุณภาพของระบบเสียง, ตั้งแต่การเข้าโรงดูหนังควบวนรอบตลอดวันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แตกต่างจากเวลานี้ ที่หากเอ่ยถึงหนังควบ เสืออย่าง StrawHat คงนึกถึงแต่ ไทย-ญี่ปุ่น ญี่ปุ่น-ฝรั่ง ญี่ปุ่น-ญี่ปุ่น เทือกนั้นไป

นึกย้อนไป ผมไม่แน่ใจว่า อะไรดลใจให้ผมชอบดูหนัง รู้สึกเพียงว่า ผมมีความสุขและอิ่มเอมขณะดูภาพยนตร์ และผม - ในฐานะผู้ไร้สามารถในการ 'เสพ' และ 'สร้าง' ศิลปอย่างรุนแรง - มักเข้าข้างตัวเองเสมอว่า ภาพยนตร์เป็นศิลปะแขนงเดียวที่ผมสามารถสัมผัสและเข้าถึงมันได้

สาเหตุหนึ่งที่ผมรักหนังและเข้าถึงมันได้เร็วเกินวัย อาจเป็นเพราะยามเด็กเคยพัวพันอยู่ในแวดวงคนทำสื่อเป็นเวลา 6-7 ปี เริ่มตั้งแต่สมัยเรียน ป.6 วิ่งเล่นกับกล้อง นั่งตากแอร์อยู่ในห้องตัดต่อ พ่นน้ำลายอยู่ในสตูดิโออ่านข่าว และผจญวัยกับทีมข่าวนอกสถานที่ไปทั่วเมืองไทย

มันคงซึมซาบเข้าสายเลือดไปบ้างเหมือนกัน

ด้วยความเป็นคนชอบอ่านหนังสือแต่เด็ก เมื่อผมเริ่มดูหนังคนเดียวอย่างจริงจัง ผมเลยหันมาอ่านหนังสือหนัง เริ่มจากยืนอ่านตามแผง ไม่นานนักก็ควักเงินซื้อ จำได้แม่นว่านิตยสาร 'เอนเตอร์เทน' ฉบับแรกที่ผมซื้อคือเล่มหน้าปก Batman ภาคแรก ฉบับ Tim Burton ที่มีหน้า Jack Nicholson ที่แปลงโฉมเป็น Joker ยิ้มหราขึ้นหน้าปก ตอนนั้น ผมอายุได้ประมาณ 12 ขวบ

นับแต่นั้น ผมซื้อเอนเตอร์เทนตลอดแทบทุกเล่มอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนคุณประไพพรรณและคุณมงคลชัย ชัยวิสุทธิ์ ยกทีมมาตั้ง Cinemag ก็ตามอ่านทั้งสองมาเรื่อย

ผมเริ่มเรียนรู้เรื่องหนังจากนิตยสารเอนเตอร์เทนภายใต้การกุมบังเหียนของทั้งคู่นั่นแหล่ะ จากนั้นจึงเริ่มเล่นของหนักขึ้น อ่าน 'หนังและวีดีโอ' รายตัวเองสะดวก และต่อมาอ่าน 'ฟิลม์วิว' ของคุณสุทธากร สันติธวัช และเพื่อนพ้องนักวิจารณ์

กระทั่ง Cinemag เริ่มจืดชืด เนื้อหาอ่อนแรง ฟิลม์วิวปิดตัวเอง เอนเตอร์เทนกลายเป็นแค่หนังสือรายงานข่าววงการหนัง ผมก็ออกจากวงการหนังสือหนังอย่างสิ้นเชิง อาศัยเปิดพลิกตามแผง ยืมเพื่อนอ่าน ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางหาข่าว กระทั่งเพิ่งกลับเข้าสู่วงการหนังสือหนังอีกรอบ เมื่อปีที่แล้วนี่เอง หลังจากได้ลิ้มรสอาหารสมองจานเด็ดอย่าง Bioscope

เป็นเรื่องน่าเศร้าที่นิตยสารในความทรงจำเหล่านั้น โดนกองทัพปลวกทำลายไปเกือบหมดสิ้น ระหว่างอภิมหาสงครามล้างโลกเมื่อหลายปีก่อน (ฝ่ายมนุษย์โลกสูญเสียนิตยสารยุค 'แรกอ่าน' ของผมไปหลายเล่ม, หนังสือเกี่ยวกับฮังการีส่วนหนึ่ง, หนังสือปกแข็งดีๆ จำนวนมาก และหนังสือการ์ตูนสุดรักตั้งแต่สมัยเด็กของผมจำนวนมหาศาล ทั้งหมดคือส่วนที่เก็บไว้นอกตู้หนังสือ จนผมเข็ดหลาบถึงทุกวันนี้) น่าเสียดาย ที่เชื้อไวรัสบนโลกมนุษย์ไม่สามารถกำจัดกองทัพปลวกได้ง่ายดายดุจดังที่เล่นงานมนุษย์ต่างดาวใน War of the Worlds

ช่วงผมบ้าหนัง ผมก็ค้นคว้าหาอ่านอย่างจริงจัง อ่านดะ รู้ประวัติมันไปทั่ว ใครกำกับหนังเรื่องอะไร หนังเรื่องใดได้รางวัลออสการ์ปีไหน หนังเรื่องนี้มีดีอะไร ฯลฯ ผมเคยส่งทายผลรางวัลออสการ์(ทุกสาขารางวัล)ของนิตยสารฟิลม์วิว ซึ่งใครทายถูกมากสาขาที่สุดมีรางวัลแจก ผมได้รางวัลที่ 2 และที่ 3 (หรือที่ 3 และ 4 ไม่แน่ใจเหมือนกัน) ติดกัน 2 ปีซ้อน ได้รางวัลเป็น Encyclopedia เกี่ยวกับหนังเล่มหนาปึ้กของเมืองนอกมาปีละเล่ม ตอนนี้ยังเก็บไว้บนชั้นหนังสือที่บ้านอยู่เลย

แน่นอนว่า สำหรับคนชอบดูหนัง ตอนเด็กๆ ก็ต้องคิดฝันอยากเป็น 'นักทำหนัง' กับเขาบ้าง ... ผมก็เช่นกัน

นึกแล้วก็ 'เคย' คิดอิจฉาเพื่อนน้ำเงิน-ขาวของผมคนหนึ่ง ที่สมัยอยู่ในรั้วโรงเรียนเรียนห้องเดียวกัน คุยเรื่องหนังกันบ่อยๆ และทำละครเล่นละครเข้าค่ายลูกเสือมาด้วยกัน

จำได้ใช่ไหมครับว่า ดึกคืนหนึ่งของการเข้าค่ายลูกเสือ แต่ละกองร้อยต้องเล่น 'ละครรอบกองไฟ' สมัยเรียน ม. 2 และ 3 ผมได้รับมอบหมายให้เป็นผู้กำกับละครรอบกองไฟครับ ผมมีหน้าที่เขียนบท กำกับการแสดง และอำนวยการสร้าง แถม ... แหะๆ ... ร่วมแสดงเองด้วยครับ

รอบกองไฟ 2 ปีนั้น กองร้อยผมเล่นของหนักเลยนะครับ ขอบอก

ม.2 เราแสดงเรื่อง 'ราโชมอน' อดีตภาพยนตร์ Masterpiece ของอากิระ คุโรซาวา ที่นักดูหนังทุกคน 'ต้องดู' ผมดัดแปลงจากเวอร์ชั่นบทละครเวทีของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผมเล่นเป็นขุนโจรตาโจมารุ ซึ่งฉากที่ยากที่สุดไม่ต้องเดาก็ตอบได้ว่าคือฉากจอมโจรข่มขืนเมียซามูไรครับ อย่าลืมว่าแดนอโศกของผมนั้นโรงเรียนชายล้วนนะครับ หลังจากส่งบทให้มาสเตอร์แล้ว ก่อนแสดงจริง ต้องซ้อมข่มขืนให้คุณครูดูรอบหนึ่งก่อนครับ กลัวติดเรทหรืออย่างไรมิทราบได้

ส่วน ม.3 เราเล่นเรื่อง 'กับดัก' ดัดแปลงจากนิยายฆาตกรรมหักมุมของอกาธา คริสตี้ เรื่อง The Mousetrap ทีเด็ดของการแสดงปีนั้นคือ เราอัดเสียงพากย์ในสตูดิโอเลย มีดนตรีประกอบเรื่องด้วย (ช่วงนั้น โรงเรียนเพิ่งลงทุนสร้างสตูดิโอ มีห้องอัดเสียง เครื่องตัดต่อพร้อม)

ผมยังเก็บบทละครทั้งสองเรื่องไว้จนถึงทุกวันนี้ เรื่อง 'กับดัก' นี่ ยังเก็บเทปอัดเสียงที่ใช้เปิดตอนแสดงไว้เลย เปิดเมื่อไหร่ ขำเมื่อนั้น

วกกลับมาเรื่องเพื่อนผมคนนี้อีกทีหนึ่ง

หลังจบจากแดนอโศก ท่านก็เรียนต่อปริญญาตรีนิเทศศาสตร์ แล้วก็ข้ามทะเลไปร่ำเรียนวิชาทำหนังถึงเมืองนอกเมืองนา กลับมาเมืองไทย เกือบได้เป็นผู้กำกับหนังกับเขาแล้ว บังเอิญเกิดเหตุหักมุมเสียก่อน ต่อมา เจ้าตัวหันเหเข้าสู่วงการหนังแผ่น แคสติ้งตัวนักแสดงสาวแล้ว นายทุนดันถูกตำรวจจับเสียก่อน ... เลยอดกำกับหนังอาร์เอ็กซ์ไปแบบเฉียดๆ แถมเกือบฉิวเข้าคุกเสียอีก

ถึงวันนี้ ผมไม่มีปัญญาและโอกาสได้เป็นคนทำหนังดังที่เคยฝันแล้ว เพราะชีวิตหักเหมาสิงสถิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแทน

ชีวิตที่เฉียดใกล้วงการหนัง(ไทย)ที่สุดมีเพียงครั้งเดียว เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ลืมไม่ลง

จำหนังไทยในตำนาน ขวัญใจใครต่อใคร เรื่อง 'ปุกปุย' (2533) ได้ไหมครับ

ตอนนั้น ผมเป็นพิธีกรเด็กรายการจิ๋วแจ๋ว เคยถูกติดต่อให้ไปเทสต์หน้ากล้องเป็นพระเอกกับเขาด้วย ตอนนั้น ไท เอนเตอร์เทนเมนต์ ยังเป็นบริษัทเล็กๆ ถ้าจำไม่ผิด ผมไปเทสต์หน้ากล้องที่ชั้นบนของโรงหนังแห่งหนึ่งแถวสะพานหัวช้าง น่าจะเป็นโรงหนังแมคแคนนา

ไปถึงก็เจอคุณอุดม อุดมโรจน์ ผู้กำกับ แกก็ให้ลองแสดงสีหน้าท่าทางพักหนึ่ง แล้วก็ให้อ่านบท บทที่ให้อ่านเป็นตอนว่าวกับชิชาเดินกลับบ้านตอนกลางคืนด้วยกัน จำได้เลาๆ ว่ามีตอนพูดถึงหิ่งห้อยด้วย

ไม่ต้องถามนะครับว่าผลเป็นอย่างไร

ต้องโล่งอกถอนหายใจแทนบริษัทไทฯ และชื่นชมคุณอุดมที่ตาแหลมและมีวิสัยทัศน์ ที่ไม่ดึงเอาหุ่นยนต์เดินได้อย่างกระผมเข้าไปข้องแวะกับหนังขวัญใจมหาชนเรื่องนี้ แต่หันไปเลือกน้องชายผมเป็นพระเอก จน 'ปุกปุย' เป็นหนังเด็กในตำนานของวงการหนังไทยตราบจนทุกวันนี้ (ตอนนี้ คุณพระเอกก็เป็น blogger อยู่แถวนี้แหล่ะ หากันเองทางขวามือ)

นั่นเป็นหนึ่งในสองครั้งที่มีประสบการณ์เทสต์หน้ากล้องกับเขา ส่วนอีกครั้ง อย่าให้เล่าดีกว่า !!!

ทำจิ๋วแจ๋วได้ไม่กี่ปี ผมก็รู้ตัวว่าไม่มีปัญญาเล่นหนังเล่นละครกับเขาได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ได้ถ่อมตัวด้วยนะครับ ไม่เชื่อถามใคร 4 คนที่เคยบุกบ้านผม จับผมมัดแข้งมัดขา แล้วขโมย 'เทปอัปยศ' ม้วนนั้นมาขืนใจดูต่อหน้าต่อตาผมก็ได้

ผมจบชีวิตในวงการบันเทิงด้วยสถิติเป็นตัวประกอบในละครซิทคอมชื่อดัง 1 เรื่อง (ตอน ม.1) ที่คุณพระเอกข้างบนเป็นพระเอก(อีกครั้ง) โดยมีผมรับเชิญเล่นบทหัวโจกแก๊งค์ตัวร้าย 1 ตอน เล่นได้แค่ตอนเดียว ผู้กำกับก็ตัดตัวละครผมทิ้งไปซะงั้น ในขณะที่ เหล่าลูกสมุนของผมกลับมีโอกาสได้กลับมาเล่นต่ออีกหลายตอน ยังดีที่พอได้มีส่วนร่วมกับเขาต่ออีกนิดหน่อย เพราะเหล่าลูกสมุนยังอุตส่าห์เอ่ยชื่ออ้างอิงถึงผมในละครเป็นครั้งคราว แม้ตัวจะไม่ปรากฏก็ตาม

เชื่อหรือยังว่าฝีมือมันไม่ธรรมดาจริงๆ เป็นสัญญาณเตือนนิ่มๆว่า กลับบ้านเถอะลูก อย่าฝืนลูก อย่าฝืน (ฮา)

เลยไม่มีว่อกแว่กครับ มุ่งวิชาการสถานเดียว ...

เมื่อก่อนเคยคิดว่าตัวเองพอจะเขียนวิจารณ์หนังได้ เพราะมีสันดานชอบวิพากษ์วิจารณ์ติดตัว แต่ช่วงหลังได้เห็นฝีมืองานเขียนวิจารณ์หนังของเหล่านักวิจารณ์รุ่นใหม่ เช่น Merveillesxx แล้ว เก็บปากกาเข้าฝักดีกว่า จะได้ไม่อายเขา ทำตัวเป็นนักอ่านนักดูที่ดีเห็นจะเหมาะสมกว่า

ชีวิตเดินหน้าผ่านไปหลายปี ถึงวันนี้ ผมก็ยังชอบดูหนังเหมือนเดิม และยังดูหนังคนเดียวเหมือนเดิม เหมือนเมื่อ 15 ปีก่อน

แต่ถ้าถามว่าตอนนี้ยัง 'ชอบ' ดูหนังคนเดียวอยู่หรือเปล่า ก็คงตอบได้เพียงว่า ...

ทำไงได้ละครับ