pin poramet's blog

Enjoy the world of bloggers !!!

Wednesday, June 22, 2005

Smithsonian

James Smithson (1765-1829) เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ จบการศึกษาระดับปริญญาโทจาก Oxford ทั้งชีวิตทุ่มเทให้กับงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะทางด้านธรณีวิทยา แร่วิทยา และเคมี



Smithson โชคดีที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง เพราะแม่มีเชื้อสายชาววัง เลยสามารถใช้ชีวิตวิ่งตามความฝันของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ตลอดชีวิตของเขา Smithson มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการสายวิทยาศาสตร์หลายชิ้น ผลงานชิ้นเอกชิ้นหนึ่งของเขาคือการล้มล้างความเชื่อเดิมของนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปเกี่ยวกับแร่ชนิดหนึ่ง จนภายหลังนักวิทยาศาสตร์เปลี่ยนมาเรียกแร่ชนิดนั้นว่า Smithsonite เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา

ในปี 1826 ก่อน Smithson เสียชีวิต 3 ปีด้วยวัยเพียง 64 ปี เขาได้เขียน พินัยกรรม โดยระบุว่า จะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ Henry James Hungerford หลานชาย แต่ Smithson ยังเขียนเงื่อนไขต่อไว้ด้วยว่า หากหลานชายเสียชีวิตโดยไร้ทายาท ให้ยกทรัพย์สมบัติทั้งหมด "ให้แก่สหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างสถาบันเพื่อเพิ่มพูนและกระจายความรู้สู่มนุษยชาติ ภายใต้ชื่อ Smithsonian Institution โดยให้ตั้งอยู่ ณ กรุง Washington"

เหมือนโชคชะตาเล่นตลก ปี 1835 Hungerford หลานชายทายาทมรดกก็เสียชีวิตโดยไร้ทายาท ทำให้ทรัพย์สมบัติของ Smithson ซึ่งโดยมากเป็นทองคำ รวมมูลค่าถึง 508,138 เหรียญสหรัฐ (มูลค่า ณ ขณะนั้น)ตกเป็นของสหรัฐอเมริกาโดยปริยาย

เบื้องหลังการตัดสินใจของ Smithson ยังคงเป็นความลับดำมืดว่าทำไมเขาจึงต้องการยกทรัพย์สมบัติให้แก่สหรัฐอเมริกา ทั้งที่เจ้าตัวใช้ชีวิตอยู่ในยุโรปทั้งชีวิต โดยที่ไม่เคยเดินทางไปสหรัฐอเมริกาแม้แต่ครั้งเดียว !!!

กระนั้น ความประสงค์ของ Smithson ก็หาใช่จะสำเร็จลงอย่างราบรื่น เพราะกว่า Smithsonian Institution จะจัดตั้งขึ้นได้ ต้องผ่านการเดินทางอีกยาวไกล ซึ่งเต็มไปด้วยข้อถกเถียงระหว่างทางมากมาย เหมือนเช่นที่มีใครเคยกล่าวไว้ว่า ประวัติศาสตร์ทั้งหลายล้วนมีประวัติศาสตร์ในตัวของมันเอง

ประเด็นแรกก็คือ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะมีท่าทีต่อของขวัญชิ้นใหญ่นี้อย่างไร ฝ่ายประธานาธิบดี Andrew Jackson ก็ไม่มั่นใจว่าตนมีอำนาจรับเงินให้เปล่าก้อนนี้หรือไม่ ฝ่ายสมาชิกรัฐสภาบางคนก็วิจารณ์ว่าควรมีศักดิ์ศรีโดยไม่รับเงินบริจาคจากต่างชาติ

กระทั่งปี 1836 รัฐสภาสหรัฐอเมริกาจึงออกกฎหมายให้อำนาจฝ่ายบริหารยอมรับเงินบริจาคก้อนนี้

เรื่องยังไม่จบ เพราะคำถามสำคัญต่อมาคือ แล้วจะนำเงินก้อนนี้ไปใช้ทำอะไรให้สมเจตนารมณ์ของ Smithson ที่ต้องการเพิ่มพูนและกระจายความรู้สู่มนุษยชาติ และจะบริหารสถาบันด้วยรูปแบบใด

รัฐสภาสหรัฐอเมริกาถกเถียงประเด็นว่าด้วยการออกแบบสถาบันของ Smithsonian Institution อยู่เป็นสิบปี ตั้งแต่ 1838-1846 ความคิดอันหลากหลายมีตั้งแต่นำเงินมาสร้างมหาวิทยาลัยแห่งชาติ สร้างวิทยาลัยครู สร้างสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ หอสมุด ฯลฯ

จนสุดท้ายการถกเถียงอันยาวนานก็สิ้นสุด 10 สิงหาคม 1846 ร่างกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้ง Smithsonian Institution ก็กลายเป็นกฎหมายบังคับใช้ ในสมัยประธานาธิบดี James K. Polk

ในที่สุด Smithsonian Institution ถูกออกแบบให้เป็น Museum and Research Complex โดยประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และสถาบันวิจัยหลายแห่งอยู่ภายใต้ตัวสถาบัน

ที่น่าสนใจคือ ผู้ร่างกฎหมายว่าด้วย Smithsonian Institution คือนาย Robert Dale Owen ส.ส.แห่ง Indiana ซึ่งเป็นลูกชายของ Robert Owen นักคิดสังคมนิยมอุดมคติว่าด้วยชุมชนสหกรณ์

Smithsonian Institution จัดตั้งขึ้นในรูปกองทุน ไม่ได้อยู่ภายใต้สังกัดรัฐบาล แต่กำกับดูแลโดย Board of Regents และบริหารงานโดยสำนักเลขาธิการสถาบัน (Secretary of Smithsonian)

Board of Regents มีองค์ประกอบที่น่าสนใจคือ มีประธานศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกาเป็นประธาน มีสมาชิกประกอบด้วย รองประธานาธิบดี วุฒิสมาชิก 3 คน สมาชิกสภาผู้แทน 3 คน (จากทั้งสองพรรค) และภาคประชาสังคมอีก 9 คน

ปัจจุบัน Smithsonian Institution ประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์ทั้งสิ้น 18 แห่ง มีสวนสัตว์ขนาดใหญ่ 1 แห่ง มีวัตถุจัดแสดง 143.7 ล้านชิ้น และขยายวงความร่วมมือสู่พิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศอีกกว่า 140 แห่ง มีสถาบันวิจัย 9 แห่ง มีนักวิชาการของตัวเอง มีวารสาร Smithsonian ออกทุกเดือน จำนวนผู้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เฉพาะส่วนของ Smithsonian เองปีละกว่า 20.4 ล้านคน มีสมาชิกสถาบัน 2 ล้านคน และมีการเดินสายจัดแสดงนิทรรศการอย่างสม่ำเสมอ

ที่สำคัญ พิพิธภัณฑ์ Smithsonian ทุกแห่ง เข้าชมฟรี ตามเจตนารมณ์ของ Smithson ที่ต้องการกระจายความรู้สู่สังคมวงกว้างให้มากที่สุด

......


หัวใจของเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ Smithsonian อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า The Mall ใจกลางกรุง Washington DC เมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา





จากรูป ปลายด้านหนึ่งที่เป็นตึกโดมสีขาวคือ อาคารรัฐสภาสหรัฐอเมริกา (US Capitol) สุดอีกปลายรูปคือ Washington Monument (แท่งสีขาวสูง 169 เมตร ที่ตั้งตระหง่านชี้ขึ้นฟ้า)ได้ ระหว่างสถานที่ทั้งสอง มีสนามหลวงอยู่ตรงกลางความยาวประมาณ 1.5 กิโลเมตร สองฝากฝั่งสนามหลวงเรียงรายด้วยพิพิธภัณฑ์ในสังกัด Smithsonian นับสิบแห่ง แต่ละแห่งก็มีตึกอาคารของตัวเอง

ที่โด่งดังเป็นพระเอกต้อนรับนักเดินทางทั่วโลกคือ National Museum of Natural History และ National Air and Space Museum

สถานที่แรกจัดแสดงโครงกระดูก T-Rex และไดโนเสาร์ตัวอื่นอีกหลายตัว พร้อมกับนิทรรศการว่าด้วยธรรมชาติของโลกและมนุษย์ ตั้งแต่ต้นกำเนิดโลก กำเนิดสิ่งมีชีวิต วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตยุคต่างๆ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก แมลง และความรู้เกี่ยวกับ 'โลก' ด้านธรณีวิทยา แร่ เพชร รวมไปถึง ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมในโลกซีกต่างๆ ฯลฯ จุดสนใจอีกอันหนึ่งคือ Hope Diamond เพชรขนาด 45.52 กะรัตที่ว่ากันว่าเป็น Blue Diamond ที่ใหญ่และสวยงามที่สุด

ส่วนสถานที่หลัง แสดงประวัติการบินของมนุษยชาติ ตั้งแต่จัดแสดงเครื่องบินลำแรกของพี่น้องตระกูลไรท์ ไปจนถึงประวัติการสำรวจอวกาศ เครื่องควบคุมยานอพอลโล 11 ภาคพื้นดินก็อยู่ที่นี่ และยังมีเครื่องบินที่ Charles Lindbergh บินข้ามแอตแลนติกในปี 1927 ไปจนถึงพื้นผิวดวงจันทร์ที่ยานอพอลโล 17 จิ๊กกลับมา ฯลฯ

ส่วนพิพิธภัณฑ์ใหม่ล่าสุดคือ National Museum of American Indian (รูปใน blog เป็นรูปเก่า ยังไม่มีในรูป) ว่าด้วยประวัติชุมชนอเมริกันอินเดียนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรม ไปจนถึงเรื่องราวความเชื่อว่าด้วยจักรวาลและดวงดาวของอเมริกันอินเดียน

พิพิธภัณฑ์อื่นๆ ในบริเวณ The Mall ก็มี National Museum of American History, Hirshhorn Museum and Sculpture Garden, Freer Gallery of Art, National Museum of African Art เป็นต้น ที่พ้นจากบริเวณ The Mall ก็มี National Postal Museum และ National Zoological Park

ในบริเวณ The Mall ยังมี Natural Gallery of Art, Holocaust Memorial Museum ที่บันทึกประวัติศาสตร์อันโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว, US National Archives ที่เก็บเอกสารประวัติศาสตร์อย่างคำประกาศอิสรภาพอเมริกา 1776 ฯลฯ

ยังไม่หมดเพราะหากเดินต่อไปทางทิศตะวันออก ก็จะเจอบริเวณ Capitol Hill มีทั้งอาคารรัฐสภา ศาลสูงสุด หอสมุดรัฐสภา อาคารสำนักงานวุฒิสภาและสภาผู้แทน ฯลฯ รวมถึงสวนพฤกษศาสตร์แห่งชาติ Botanic Garden ด้วย

ส่วนทางฝั่งตะวันตกของ DC เลย Washington Monument ก็เป็นอนุสรณ์สถาน Lincoln ที่ Martin Luther King เคยกล่าวคำปราศรัยอันโด่งดัง "I have a dream." (1963) ระหว่างการชุมนุมเรียกร้องสิทธิเท่าเทียมในสังคมอเมริกันครั้งใหญ่ เมื่อ 28 สิงหาคม 1963

นับแต่ก้าวขาเหยียบ Washington DC ผมก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก จนไม่สามารถกลับบ้านนอกได้โดยง่าย เพราะที่นี่มีสถานที่ให้จมดิ่งกับการค้นหาความรู้ และก้าวเดินย่ำรอยเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เต็มไปหมด พิพิธภัณฑ์แต่ละแห่งล้วนใหญ่โต และสวยงามมาก หากตั้งใจเดินชมอย่างจริงจัง หลายแห่งใช้เวลาทั้งวันก็ไม่หมด ผมไปได้อย่างมากก็วันละสองแห่ง แต่ถ้าอันไหนสนใจมากๆ อย่าง Museum of American History วันหนึ่งยังเดินชมเดินอ่านไม่ทั่วเลย

ผมชอบพิพิธภัณฑ์ในสหรัฐอเมริกามากนะครับ เรื่องมีอคติเอนเอียงไปทางสังคมอเมริกันในบางเรื่องหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่การจัดแสดงของเขา มันสนุกเหลือเกิน ไม่รู้เบื่อ เต็มไปด้วยข้อมูลความรู้ที่ย่อยได้อย่างน่าสนใจ ตรงประเด็น ตอบคำถามที่เราสงสัยใคร่รู้ ช่างเก็บเอกสารเก่าๆ สิ่งของเก่าๆ ในประวัติศาสตร์ และมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมากมาย ลีลาการนำเสนอก็สุดยอดและสนุกสนาน ใช้มัลติมีเดียเข้าช่วยอย่างเต็มที่ มีโรงหนังอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์ มีแบบจำลองเหมือนจริงประกอบ ฯลฯ กระทั่งในหอศิลป์ นอกจากมีการแสดงภาพ งานปั้น แล้วยังมีห้องชมงานภาพเคลื่อนไหว และ Visual Music ด้วย

เรียกว่า การเรียนรู้นอกห้องเรียนเต็มไปด้วยความรื่นรมย์ มีองค์ประกอบครบทั้งเนื้อหาที่ดีและกลวิธีนำเสนอ รวมถึงการจัดวางความรู้ ที่ยอดเยี่ยม ไม่มีวันไหน ที่ผมไม่ได้เป่าปากร้อง โอ้โห !!! ด้วยความทึ่งสักวันเดียว

ใครรักชอบพิพิธภัณฑ์ ห้ามพลาดโอกาสเยี่ยมชมเครือข่าย Smithsonian ครับ แล้วจะต้องมนต์สะกดแบบผม

มองบ้านเขาแล้วย้อนมามองบ้านเรา ก็อดเปรียบเทียบไม่ได้

ผมยังไม่กล้าจินตนาการถึงพิพิธภัณฑ์ในฝันหรอกครับ ไม่ว่าจะเป็นแห่งชาติหรือแห่งชุมชนก็ตาม

แต่เห็นประวัติของ Smithsonian แล้วอดนึกถึงเศรษฐีหุ้นหมื่นล้านของบ้านเราไม่ได้ ที่ปากก็บอกว่า พอแล้ว ไม่หวัง 'เอา' อะไรจากประเทศชาติอีกแล้ว (แต่ยังหรี่ตาเวลาคนรอบตัวสวาปามไม่เลือก) รวยขนาดนี้แล้ว น่าจะคิด 'ให้' อะไรกับประเทศชาติแบบให้เปล่าอย่าง Smithson บ้างนะครับ ไม่ใช่ใช้แต่เงินรัฐ แต่เอาทุกอย่าง ทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์เข้าตัวเอง ส่วนเงินส่วนตัว กอดไว้ให้ลูกให้เมียให้พรรคให้คนรอบกายซะแน่น

บ่นบ้าไปอย่างงั้นแหล่ะครับ งาช้างย่อมไม่งอกจากปากหมาฉันใด ......