pin poramet's blog

Enjoy the world of bloggers !!!

Tuesday, May 17, 2005

'ประสงค์' ของ 'ทักษิณ'

เหตุเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ในรายการ 'นายกฯ(เทวดา)พบประชาชน(ธรรมดา)' ทางคลื่นวิทยุของกรมโฆษณาการ

ท่านผู้นำเทวดา ซึ่งแบ่งภาคมาสวมบทดีเจเทวดาทุกเช้าวันเสาร์ ได้ระเบิดความหงุดหงิดใส่สื่อมวลชน โดยมีจุดเริ่มจากการพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์มติชน เมื่อสามวันก่อนหน้า (ธรรมาภิบาลรัฐบาลไทยเสื่อม สอบตก 'คุมโกง' ธนาคารโลกให้แค่ '49 %') ไปจนถึง แถลงการณ์โต้ตอบของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กรณีนายกฯให้สัมภาษณ์วิจารณ์การพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์

เนื้อความตอนหนึ่งของรายการ 'คุย(คนเดียว)คุ้ย(แต่)ข่าว(ดี)' ภาคดีเจเทวดาไม่ไว้หน้าใคร มีว่า ...

" ... ความจริงผมไม่ได้มีอะไรกับหนังสือพิมพ์มติชน แต่วันนั้นบังเอิญพาดหัวข่าวขึ้นมา ทำให้เกิดความไขว้เขวเข้าใจผิด แต่ในเนื้อข่าวจริง ๆ เขาก็เสนอตรง ไม่มีอะไร ผมเพียงแต่ติงเรื่องพาดหัวข่าว ปรากฏว่า กลับไปออกแถลงการณ์สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ ผมตรวจชื่อกรรมการของสมาคมฯ แน่นอนครับ มีตัวแทนจากมติชนคนหนึ่ง คือ นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ก็อยู่ในนั้น ก็ไม่ว่ากัน จะโจมตีกันก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่าโจมตีอย่างไรคำนึงถึงประเทศหน่อย ตอนประเทศแย่อย่างคราวที่ผ่านมานั้น พอประเทศพังก็ตกงาน เปิดท้ายขายของกันอุตลุด ..."

'ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์' ที่ว่า คือเจ้าของนามปากกา 'ประสงค์ วิสุทธิ์'

รองบรรณาธิการอำนวยการหนังสือพิมพ์มติชน, เจ้าของคอลัมน์ 'เดินหน้าชน' ในมติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์, ผู้อยู่เบื้องหลัง 'รายงานข่าวเจาะเชิงสืบสวน' ชิ้นแล้วชิ้นเล่าของเครือมติชน, อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน และหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ, และอดีตคอลัมนิสต์นิตยสาร open ฯลฯ

แม้ปากท่านผู้นำจะบอกว่า 'ไม่มีอะไร' กับมติชน แต่ดูจากความอัดอั้นตันใจที่พรั่งพรูออกมาแล้ว เหมือนจะเก็บอาการไม่อยู่ว่า 'มีอะไร' กับนายประสงค์

... มีมากด้วย

เข้าใจได้ไม่ยากครับ เพราะคนความจำแม่นอย่างท่านผู้นำ มีหรือจะจดจำนักข่าวธรรมดาคนหนึ่งที่ทำให้ท่านผู้นำเทวดา 11 ล้านเสียงเกือบตกจากเก้าอี้ด้วยคดีซุกหุ้นไม่ได้

กว่าจะเอาตัวรอดมาได้ด้วยเลขเด็ด - เจ็ดต่อแปด - ก็ต้องหลั่งน้ำตาสังเวยความบกพร่องโดยสุจริตมาแล้ว

หลังนาทีที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ นอกจากท่านผู้นำเทวดาจะจดจำชื่อเสียงเรียงนามของนักหนังสือพิมพ์รุ่นกลางคนนี้ได้อย่างแม่นยำ ในฐานะผู้เปิดประเด็นคดีซุกหุ้นในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ผมเองก็ท่องชื่อ 'ประสงค์ วิสุทธิ์' ได้ขึ้นใจเช่นกัน

ต่างกันก็เพียงว่า คนหนึ่งท่องด้วยความแค้น ส่วนอีกคน ด้วยความเคารพนับถือ

......

ในฐานะแฟนพันธุ์แท้ของหนังสือพิมพ์มติชนมาตั้งแต่ประถม ผมได้ยินชื่อของ 'ประสงค์ วิสุทธิ์' มาตั้งแต่ก่อนหน้าข่าวคดีซุกหุ้น ในฐานะนักหนังสือพิมพ์มืออาชีพของวงการสื่อมวลชนไทย

จุดเด่นที่สุดของ 'ประสงค์ วิสุทธิ์' คือ สิ่งที่เป็นจุดอ่อนของหนังสือพิมพ์ไทย

นั่นคือ การรายงานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน

เด่นเสียจน นิตยสาร Time เคยยก 'ประสงค์ วิสุทธิ์' เป็นหนึ่งใน Stars of Asia เมื่อปี 2001

สื่อหนังสือพิมพ์เสียเปรียบสื่อวิทยุโทรทัศน์ในแง่ 'ความเร็ว' ในการนำเสนอข่าวสาร แต่มีข้อได้เปรียบคือ มีพื้นที่ในการนำเสนอ 'ความลึก' ของประเด็นข่าว ด้วยบทวิเคราะห์ที่เฉียบคม และหลักฐานข้อมูลที่แน่นหนา

หนังสือพิมพ์ที่มีคุณภาพ นอกจากจะนำเสนอข้อมูลที่ 'ลึก' และ 'ถูกต้อง' แล้ว ยังต้องเป็นผู้ 'กำหนด'วาระข่าวด้วย มิใช่แค่ 'วิ่งตาม'วาระข่าว ตามแต่แหล่งข่าวจะหลอกใช้เป็นเครื่องมือ หรือวิ่งวนตามกระแส หรือเวียนว่ายกับความขัดแย้งฉาบฉวยในสังคม

ในบางจังหวะ นอกจากสื่อมวลชนจะเกาะติดสถานการณ์ที่สังคมสนใจใคร่รู้แล้ว สื่อมวลชนควรมีบทบาทในการนำสังคมและยกระดับความรู้ของสังคม ในแง่นี้สื่อมวลชนมีบทบาทอย่างสูงในการยกระดับการเมืองเชิงวัฒนธรรมของสังคม

น่าเสียดายที่ปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายมิติ โดยเฉพาะความล้มเหลวของระบบการศึกษา ทำให้สื่อมวลชนในประเทศนี้ ลื่นไม่เท่าไล่ไม่ทันเหล่าผู้มีอำนาจ ซึ่งมีความสามารถเอกอุในการกำหนดวาระข่าวเพื่อประโยชน์ส่วนตน อีกทั้ง สื่อมวลชนโดยเฉลี่ยยังด้อยความสามารถในการวิเคราะห์วิจารณ์ลึกลงไปถึงแก่นแท้เนื้อในของปรากฏการณ์ที่มองเห็นผิวนอก

ข่าวที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์โดยมาก จึงเป็นการร้อยเรียงเล่าเหตุการณ์ข้อเท็จจริงว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน แต่น้อยนักที่จะตอบคำถามว่า ทำไม สะท้อนอะไร และส่งผลสืบเนื่องอย่างไร

สื่อมวลชนจำนวนมากในสังคมไทยวิ่งตามข่าวที่ไม่เป็นสาระ ตื่นตูมไปกับพลุที่นักการเมืองจุดในแต่ละวัน มีหน้าที่ยื่นเครื่องอัดเทปใส่ปากคนโน้นทีคนนี้ที ไวต่อกลิ่นความขัดแย้งฉาบฉวย มีเพียงสื่อมวลชนจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อยเท่านั้น ที่ทำการบ้านหนัก มองปัญหาเชิงโครงสร้าง ทำงานวิจัยขนาดย่อมในสายข่าวที่ตนรับผิดชอบ และลงมือสืบสวนสอบสวนความไม่ชอบมาพากลในสังคมมาตีแผ่

ในจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อยนั้น 'ประสงค์ วิสุทธิ์' ยืนอยู่หัวแถว

ตลอดชีวิตนักข่าวหลังพ้นรั้วนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ 'ประสงค์ วิสุทธิ์' ทำหน้าที่ค้นหาความจริงอย่างมืออาชีพเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสังคมไทยมาโดยตลอด ด้วยธรรมชาติของนักข่าวเข้าสายเลือด ด้วยความซื่อสัตย์ในจรรยาวิชาชีพ และซื่อตรงต่อความจริง ไม่เคยมีนอกมีในกับอะไรและกับใคร ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่มีวาระซ่อนเร้น ว่ากันไปตามความจริงที่ปรากฏ

เป็นคนธรรมดา ที่ไม่เคยวิ่งเข้าใส่ความเด่นดัง เครือข่ายสายสัมพันธ์ หรือชื่อเสียงจอมปลอม ไม่เคยใช้หน้าที่เรียกหาประโยชน์เข้าตน ชีวิตแต่ละวันก็เพียงตั้งใจทำงานของตัวให้ดีที่สุด อย่างสมเกียรตินักข่าวธรรมดาคนหนึ่ง ด้วยความเป็นมืออาชีพและความตรงไปตรงมา ก็เท่านั้น

ง่ายเท่านั้นจริงๆ

ไม่แปลกใจที่ผู้นำบางคนย่อมไม่มีวันเข้าใจ 'วิถี' ที่ว่า เพราะเส้นทางเดินในชีวิตของคนทั้งคู่แตกต่างกันเหลือเกิน

......

ชีวิตผมสนุกโชคดีตรงที่มีโอกาสได้พบปะ 'ยอดคน' ที่น่าเคารพนับถืออยู่เนืองๆ ทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้วัตรปฏิบัติและวิธีคิดของคนเหล่านั้น

คนที่ผมเรียกว่า 'ยอดคน' นี่ ล้วนเป็นคนธรรมดาแบบเราๆ ท่านๆ แทบทั้งนั้น ไปเรียกเช่นนี้ให้เขาได้ยิน จะโดนค้อนโดนว่าเอาง่ายๆ ไม่เหมือน 'เดนคน' บางคน ที่ชอบยกหางตัวเองให้คนอื่นนับถือเป็น 'ยอดคน'

ประสบการณ์อันน้อยนิดของผมสรุปว่า 'ผู้ยิ่งใหญ่' ที่ผมเคยมีโอกาสได้พบเจอ ต่างมีคุณสมบัติร่วมกันคือ เป็นคนธรรมดา ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองอย่างดีที่สุดและเป็นมืออาชีพ ไม่ต้องร้องหาอำนาจวาสนา ไม่ยึดติดกับหัวโขนสิ่งสมมติ ไม่ต้องเฝ้ารอโอกาสทำดี ไม่คิดถึงเพียงเฉพาะตัวเองและคนรอบข้างตน

'ประสงค์ วิสุทธิ์' หรือพี่เก๊ของผม ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ผมเจอพี่เก๊ตัวเป็นๆ ครั้งแรกในงานสัมมนาวิชาการประจำปีของคณะเศรษฐศาสตร์ ที่หอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์ จำได้ว่า อาจารย์เกษมสันต์ เป็นคนแนะนำให้ได้รู้จักกัน ไม่กี่ปีมานี้นี่เอง

คุยกันสั้นๆ แบบไม่นึกฝันว่า ในอนาคตจะมีจังหวะมีโอกาสได้โคจรมาพบกันบ่อยครั้งขึ้น

พี่เก๊เป็นนักข่าวที่มีความเป็นนักวิชาการสูงมากนะครับ ใฝ่รู้และทำงานหนัก ใครได้อ่านงานข่าวของพี่เก๊จะรู้สึกว่า นอกจากจะเป็นงานสืบสวนขนาดทำตำรวจอายได้ ยังมีมิติของความเป็นงานวิชาการ ที่แน่นหนาในข้อมูลข้อเท็จจริง ตรรกะลื่นไหลเข้มแข็ง ประเด็นเฉียบคม รวมไปถึงมีระเบียบวิธีศึกษาชัดเจนเพื่อตอบคำถามที่สงสัย

นักข่าวกับนักวิชาการมีภารกิจเดียวกัน คือตามล่าหา 'ความจริง' แม้โดยมากจะเป็นความจริงคนละระดับก็ตาม

ความเป็นนักวิชาการในตัวแบบไม่รู้เจ้าตัวรู้ตัวหรือไม่ ทำให้เรามักพบเห็นพี่เก๊ขึ้นเวทีอภิปรายสัมมนาเชิงวิชาการร่วมกับนักวิชาการได้อย่างไม่ขัดเขิน เป็นนักข่าวไม่กี่คนนะครับ ที่พูดจาได้แบบอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายคนยังอาย แกตะลุยมาหมดแล้ว ไม่ว่าคณะเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ฯลฯ ไม่ต้องพูดถึงนิเทศศาสตร์และวารสารศาสตร์

เมื่อครั้งผมร่วมเป็นผู้จัดกำหนดการสัมมนาของกลุ่มศึกษาเศรษฐศาสตร์สถาบันในช่วงเวลา 2 ปีครึ่ง เราเชิญพี่เก๊มาร่วมอภิปราย 2 ครั้ง ครั้งแรกว่าด้วยเรื่องกลุ่มทุนโทรคมนาคมไทย ครั้งหลังว่าด้วยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน

พี่เก๊มาพร้อมกับข้อมูลและกรณีศึกษาที่น่าสนใจจำนวนมาก ซึ่งเป็นฝีมือเจาะข่าวในอดีตของเจ้าตัว

เช่น ต้นกำเนิดของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการมือถืออย่างบริษัท A (นามสมมติ) ใครอยากรู้ต้องไปค้นมติชนฉบับย้อนหลังดู จะรู้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ว่าเริ่มต้นจากการเป็นบริษัทห้องแถว ที่ไม่มีตัวตน ผู้ก่อตั้งก็เป็นเพียงพนักงานธรรมดาของบริษัทเคเบิลทีวี I (นามสมมติ) ในอดีต (คุ้นๆวิธีการไหม) แต่เริ่มต้นก็กลับคว้าสัมปทานหลักพันล้านของกระทรวงคมนาคม ในยุคตนโตตัวเล็กเป็นรัฐมนตรีว่าการ (ข้อมูลอาจผิดได้ อาศัยความทรงจำล้วนๆ)

เมื่อมติชนตีพิมพ์ข่าว วันรุ่งขึ้น นาย T-sq (นามสมมติ) ถึงกับบุกมาชี้แจงถึงโรงพิมพ์ทีเดียวเชียวละ

ลองไปค้นดูครับ เป็นกรณีศึกษาที่คลาสสิกมาก แล้วจะเข้าใจวิธีคิดและพฤติกรรมของ 'คนที่คุณก็รู้ว่าใคร' ในปัจจุบัน

เวลาคณะผมหรือธรรมศาสตร์จัดรายการสัมมนาที่น่าสนใจ พี่เก๊มักโทรศัพท์มาหา เพื่อขอเปเปอร์มาอ่าน ขอเอกสารประกอบการสัมมนา หรือขอเทปฉบับเต็มไปนั่งฟัง

เวลาติดขัดสงสัยเรื่องทางเทคนิค พี่เก๊ก็มักมุ่งสู่มหาวิทยาลัย เพื่อปรึกษาไต่ถามนักวิชาการ ที่คณะผมก็มีแหล่งข่าวและแหล่งความรู้ของพี่เก๊หลายคน

ล่าสุดนี่ พี่ประสงค์ของผมเพิ่งสมัครเรียนนิติศาสตร์ ภาคบัณฑิต ที่ธรรมศาสตร์เลยนะครับ นักโกงเมืองทั้งหลาย ระวังเนื้อระวังตัวกันไว้ แต่ตอนนี้ขอให้เจ้าตัวระวังเนื้อระวังตัวเองก่อน เพราะมัวแต่เจาะข่าวมากๆ อาจสอบตกได้ (ฮา)

......

ปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสพบปะกับพี่เก๊หลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมไปเป็นคอลัมนิสต์ให้ประชาชาติธุรกิจ และพี่เก๊และผมร่วมทีมคอลัมนิสต์ของ open ยุคเศรษฐกิจการเมือง เลยมีโอกาสได้ร่วมโต๊ะอาหารกันหลายครั้ง

สำหรับคนสอนหนังสือหากินอย่างผม โต๊ะอาหารของนักข่าวนี่ตื่นตาตื่นใจมากนะครับ เพราะสื่อมวลชนเป็นผู้อยู่แนวหน้าของสนามรบ ได้สัมผัสพบปะเหตุการณ์จริง ผู้คนจริง ทุกวัน เกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และรู้เบื้องหลังเบื้องลึกของตัวละครที่โลดแล่นอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์สารพัดกลุ่ม

เหล่านี้เป็นองค์ความรู้ที่นักวิชาการห่างเหิน แม้นักวิชาการจะมีชุดความคิด มีเครื่องมือในการวิเคราะห์ แต่ห่างไกลจากสถานการณ์จริง ผลกระทบจริง ตัวละครจริงของเรื่องราวเท่ากับนักข่าว ซึ่งถ้าจะทำการวิเคราะห์เชิงสถาบัน ที่เป็นความเฉพาะเจาะจงด้วยแล้ว ปัจจัยเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจปรากฏการณ์

อย่างเรื่องแบ่งโซนสีหมู่บ้านในภาคใต้ ที่เป็นข่าวใหญ่โตช่วงหลังเลือกตั้ง ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความปากพล่อยของชายหน้าเหลี่ยมคนหนึ่งเท่านั้น บังเอิญชายเหลี่ยมคนนั้นดันมีอำนาจมากมาย เรื่องถึงยุ่ง เพราะมีเหล่าลูกขุนพลอยพยักมาก ยังดีที่ยอมกระโดดลงจากรถสิบล้อกัน

กินข้าวด้วยกันทีไร เป็นต้องได้ฟังความจริงอันโหดร้าย จนบางครั้ง กินข้าวไม่ลงเอาเลยทีเดียว และอดคิดในใจว่า ทำไมพวกมึงเลวกันได้ขนาดนี้วะ แต่หลายครั้งก็สนุกตื่นเต้น เพราะได้เก็บเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทางการเมือง และเบื้องหลังเบื้องลึกของตัวละครที่โลดแล่นตามหน้าหนังสือพิมพ์

จะว่าไป การรวมกลุ่มอย่างหลวมๆ มานั่งวิเคราะห์วิจารณ์ปัญหาการเมืองเศรษฐกิจของบ้านเมือง และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน โดยมีผลประโยชน์ของสังคมไทยเป็นที่ตั้ง นี่มีประโยชน์มากเลยนะครับ

อย่างน้อย ปีที่ผ่านมา เราก็ได้ใช้พลังของแต่ละฝ่ายร่วมกันคัดค้านความไม่ถูกต้อง 2 เรื่องคือ แผนออกหวยซื้อหุ้นสโมสรลิเวอร์พูล และ การเซ็นสัญญาระหว่างสถานีโทรทัศน์ช่องห้ากับบริษัทอาร์ทีเอ เรื่องหลังเป็นผลงานสืบสวนชิ้นเอกอีกชิ้นหนึ่งของพี่เก๊ในปีที่ผ่านมา ซึ่งทั้งสองเรื่องจบลงด้วยดี กรณีหวยหงส์จบลงด้วยการเป็นปาหี่ระดับโลก ส่วนเรื่องช่องห้าจบลงด้วยการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการ และยกเลิกการเซ็นสัญญา

ขอเล่าประสบการณ์เรื่องกรณีผลประโยชน์ในช่องห้าหน่อยนะครับ มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจ

วันนั้น กลุ่มศึกษาเศรษฐศาสตร์สถาบันเชิญพี่เก๊มาร่วมวงอภิปรายเรื่อง ผลประโยชน์ทับซ้อน

ตอนเที่ยง พี่เก๊โทรมาหาผมว่า จะไปสายหน่อยนะ เพราะเพิ่งได้ข้อมูลเด็ดเกี่ยวกับสัญญาช่องห้า กำลังนั่งศึกษาอยู่ เดี๋ยวต้องรีบเขียนข่าวทิ้งไว้ แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง

กว่าพี่เก๊จะมาถึงธรรมศาสตร์ วงอภิปรายก็ว่ากันไปครึ่งหนึ่งแล้ว ผมนั่งฟังอยู่ด้านล่าง มองขึ้นไปบนเวที เห็นพี่เก๊ก้มตาก้มตาอ่านเอกสารชุดหนึ่งอยู่ตลอดเวลา พอถึงคิวพูด แกก็พูด ว่าเสร็จแกก็ก้มอ่านต่อ

วิญญาณนักข่าวชัดๆ เลยครับนั่น ดำดิ่งกับการค้นหาความจริง แบบไม่ไล่ไม่เลิก

พอสัมมนาเสร็จ พี่เก๊ก็มาคุยกับผมต่อในห้องทำงานผม พร้อมกับเอกสารปึกใหญ่ เอกสารที่ว่าเป็นข้อมูลดิบล้วนๆ เลยนะครับ ประกอบด้วยจดหมายและหนังสือราชการหลายฉบับ สัญญา รายงานของที่ปรึกษาการเงิน ฯลฯ คือมีทั้งข้อมูลดิบที่แหล่งข่าวส่งมาให้ และข้อมูลดิบที่พี่เก๊สั่งค้นเพิ่ม เพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวให้สมบูรณ์

ว่าแล้ว พี่เก๊ก็อภิปรายไม่ไว้วางใจให้ผมฟังเป็นฉากๆ เป็นขั้นตอน (แบบรัวเร็วฟังไม่ทันตามสไตล์ประสงค์ตัวจริง - ฮา) พร้อมโชว์หลักฐานแต่ละชิ้นที่แกปะติดปะต่อกับเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นลำดับลื่นไหล

ผมก็ได้แต่ตะลึง ไม่ใช่แค่ตะลึงกับความโกงของข้าราชการและนักธุรกิจ แต่ยังตะลึงในความเก่งและความเป็นมืออาชีพของพี่เก๊ ... ครึ่งวันเองนะครับที่พี่เก๊ได้เอกสารปึกนี้มา มีเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงในการสังเคราะห์ก่อนมาพูดที่ธรรมศาสตร์

มืออาชีพเท่านั้นครับ ที่จับมั่นคั้นความจริงได้ถึงแก่นในเวลาจำกัดอันสั้นแบบนี้ ประสบการณ์ล้วนๆ เท่านั้น

หลังจากอภิปรายเดี่ยวเสร็จ พี่เก๊ก็ถามต่อถึงกลไกด้านตลาดการเงินบางประเด็น ผมก็ไปเชิญอาจารย์ท่านหนึ่งมาอธิบายความให้แกฟัง และถ้าจำไม่ผิด จุดหมายต่อไปของพี่เก๊ในวันนั้นคือคณะนิติศาสตร์ครับ เพื่อซักถามข้อกฎหมายบางประเด็น

และเข้าห้อง เรียนหนังสือภาคค่ำต่อ

วันรุ่งขึ้นมติชนก็พาดหัวรองเรื่องอื้อฉาวนี้ ตามมาด้วยเป็นพาดหัวใหญ่ในวันต่อมา พร้อมกับสกู๊ปข่าวอย่างละเอียด ตลอดช่วงอาทิตย์นั้น เป็นข่าวเดี่ยวของมติชน จากฝีมือของชายคนนี้อีกครั้ง

นับเป็นอีกครั้งที่การปฏิบัติหน้าที่ในการค้นหาความจริง แบบไม่มีวาระซ่อนเร้นของผู้ชายคนหนึ่ง ส่งผลในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศนี้ไว้ได้

เท่าที่รู้จักกันมา ผมคิดว่า คุณูปการที่สำคัญยิ่งอีกอันหนึ่งของพี่เก๊ต่อวงการสื่อสารมวลชนไทยคือ การเป็นแรงบันดาลใจและเป็นตัวอย่างรูปธรรมให้แก่นักข่าวรุ่นใหม่และรุ่นกลางหลายคนในมติชนรายวันและประชาชาติธุรกิจ เรื่อยไปจนถึงเหล่าศิษย์เก่าสำนักนั้น จนถึงในสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

จนสัมผัสได้ถึงพลังห่วงโซ่แห่งความดี ที่ยึดมั่นในจรรยาวิชาชีพของนักข่าวที่มีอุดมการณ์

พี่ๆที่ผมรู้จักในประชาชาติธุรกิจหลายคนก็เดินมุ่งหน้าตามทางเดินที่พี่เก๊ถางไว้ เราจึงเห็นได้ว่า ประชาชาติธุรกิจเป็นหนังสือพิมพ์ข่าวเจาะเชิงสืบสวนที่โดดเด่นที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างปีที่แล้ว ก็เป็นผู้จุดประเด็นเรื่องไข้หวัดนกขึ้นมาเป็นแห่งแรก และเกาะติดไม่ปล่อยแม้ในช่วงแรก รัฐบาลจะออกมาดาหน้าปฏิเสธ ปกปิดความจริงด้วยกลัวยอดส่งออกไก่ตกต่ำก็ตาม ผลเสียเป็นอย่างไร ทุกท่านก็รู้อยู่แก่ใจ

......

ในขณะที่ กระแสข่าวหมุนวนถั่งโถมรวดเร็วอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในแต่ละวัน นักหนังสือพิมพ์อาชีพธรรมดาคนหนึ่งนั่งทำงานเงียบๆ อยู่บนตึกไม่กี่ชั้นแถวประชาชื่น

ปฏิบัติภารกิจประจำวันด้วยการตรวจสอบค้นหาความจริงอย่างดีที่สุด เพื่อรายงานความจริงให้คนในสังคมนี้ได้รับรู้

มีหลักง่ายๆ แค่การเคารพความจริงที่ปรากฏ อย่างตรงไปตรงมา

ง่ายเท่านั้นจริงๆ

ไม่เคยเอ่ยปากทวงบุญคุณอะไร กับใคร กระทั่งกับสังคม

แม้ตัวเองจะต้องก้มดูใต้ท้องรถ ก่อนสตาร์ทเครื่องออกเดินทางก็ตาม

......