pin poramet's blog

Enjoy the world of bloggers !!!

Friday, May 20, 2005

ทักทายจากถิ่นคาวบอย

ยามนี้ สำนักหลังเขาของผมเริ่มย่างเท้าเข้าสู่ความเงียบเหงาทีละนิดละน้อย

มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นผู้คนคนแล้วคนเล่าทยอยขนข้าวของ เดินทางกลับสู่บ้านเกิด เหตุเพราะสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของเทอม Spring 2005 ซึ่งมีวันเวลาที่มีความเป็น Spring สมชื่อประมาณไม่เกิน 20 วัน

เกลียดชีวิตที่บ้านนอกก็ตรงเรื่องอากาศนี่แหละ

จริงๆจะว่าไป อากาศที่เลวร้ายอีกด้านหนึ่ง กลับเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ผมรีบร้อนอยากเรียนจบโดยไว

รีบอยากกลับไปที่ร้อนๆ น่ะครับ

ผมมาฝึกวิชาที่บ้านนอกตั้งแต่ Fall 2001 ผ่านพ้นหน้าหนาวแรกอย่างทุลักทุเล อากาศที่บ้านนอกของผมจะเริ่มหนาวตั้งแต่ครึ่งหลังของเทอม Fall (ช่วงปลายตุลาคม ต้นพฤศจิกายน) ไปจนเกือบหมดเทอม Spring (ช่วงปลายเมษายน) ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า หนาวเกือบทั้งปีนั่นเอง หนาวที่สุดก็ตั้งแต่ช่วงคริสต์มาสยาวไปจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่ยาวถึงเดือนมีนาคมเอาเลยก็มีบ่อย

อุณหภูมิช่วงหนาวปกติก็ประมาณ -20 ถึง -25 องศา c ถ้าหนักอาจไปถึง -30 องศา หรือกว่านั้น แต่อย่าลืมว่า ยังมีพี่ 'ลม' ตัวแสบอีกครับ เพราะสำนักหลังเขาของผมอยู่กลางหุบเขา พี่ลมเลยโหดร้ายหนัก พัดทีแทบจะฉีกเนื้อหนังเป็นชิ้นๆ เพิ่มความหนาวเหน็บขึ้นอีกในโลกความจริง

เจอปีแรกเข้าไป ก็กระอักโลหิตทางจมูก เกิดมาไม่เคยเจออะไรหนาวโคตรพ่อโคตรแม่ขนาดนี้เลย ตอนนั้นอยากตบกบาลเพื่อนรุ่นพี่หลายคนที่บอกว่า ปีนี้โชคดีที่ยังไม่ค่อยหนาวเหมือนปกติ

จนเข้าสู่ปีที่สอง ผมก็มาเข้าใจคำพูดของท่านเหล่านั้นอย่างแจ่มแจ้ง เพราะหน้าหนาวที่สองในชีวิตการเรียน มันโหดเหี้ยมซาดิสต์ผิดมนุษย์จะทานทน หนาวเกินกว่าปีแรกที่เกือบคร่าชีวิตผมหลายเท่า

มันเป็นหน้าหนาวที่หนาวยะเยือกที่สุดในรอบร้อยปี ประมาณนั้น มีพายุหิมะให้ผจญลูกแล้วลูกเล่า ต้องใช้ชีวิตอย่างยาวนานในอากาศที่หนาวเย็นเกินกว่าที่จะมีหิมะ ผมเพิ่งเข้าใจลำดับขั้นก็ความหนาวก็ที่นี่ เมื่อก่อนคิดว่า หิมะตกแปลว่าหนาวที่สุด ซึ่งไม่จริง เพราะอากาศที่หนาวเย็นที่สุดคืออากาศหนาวจัดแบบไร้หิมะต่างหาก

หน้าหนาวที่สองเป็นประสบการณ์สุดทรมาน ทำให้ผมเข้าใจว่า ที่แท้ นรกมันเย็น และเป็นสีขาว นรกไม่ได้ร้อนระอุ ด้วยสีแดงฉานอย่างที่เข้าใจ

จำได้ว่าปีนั้น มันหนาวจัดเสียจน โรงเรียนปิดบ่อยครั้ง เพราะเจอพายุหิมะถล่ม ผมเคยทำสถิติหมกตัวอยู่แต่ในห้องไม่สัมผัสอากาศภายนอกยาวนานนับอาทิตย์

หมดหน้าหนาวเทอมนั้น (Spring 2003) ผมก็ตั้งปณิธานกับตัวเองว่า นั่นคือหน้าหนาวสุดท้ายในชีวิต กูจะต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้ได้โดยเร็วที่สุด เทอมต่อมา ผมถึงทุ่มสรรพกำลังทั้งปวง เพื่อให้สามารถสอบเค้าโครงข้อเสนอวิทยานิพนธ์ได้ จะได้กลับไปนั่งเขียนวิทยานิพนธ์ที่เมืองไทย แล้วในหนึ่งปี ก็จะกลับมาหาอาจารย์ที่ปรึกษาสักหนึ่งเทอม โดยจะเลือกมาช่วง Fall ที่หนาวน้อยหน่อย

สุดท้าย ก็สามารถทำได้สำเร็จ ได้กลับเมืองไทยช่วงต้นมกราคม 2004 สามารถเบรกหนีหนาวหนักได้ทันท่วงที เพื่อนผมบอกว่า หลังผมกลับไปสักอาทิตย์หนึ่ง นรกอันเหน็บหนาวก็มาเยือน

ทีนี้พอกลับเมืองไทย ก็ดันไปเจอปัญหาใหม่ที่ไม่ใช่เรื่องอากาศอันเลวร้าย เพราะที่เมืองไทย ผมกิจกรรมมากมาย ทั้งสอน ทั้งเขียน ทั้งทำหนังสือ ทั้งลุยโน่นนี่ ทำศึกในศึกนอก งานการเรียนเลยไม่ค่อยคืบหน้าเท่าที่ควร ทั้งยังมีภาระหน้าที่ทางครอบครัวให้ต้องหาเงินรับผิดชอบ แถมช่วงหลัง เจอพญามารและมารผจญสารพัด สุดท้ายเลยต้องซมซานกลับมาบ้านนอกใหม่

กลับมาหน้าหนาวอีกแล้วครับท่าน

อุตส่าห์รอกลับมาใกล้สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ จะได้พ้นความหฤโหดเสียก่อน แต่อากาศปีนี้ดันทะลึ่งหนาวหนักตลอดเดือนมีนาคม (หรือเป็นเพราะผมย้ายมาจากอากาศ 35 องศา มาเจอ -25 องศา ทันที ไม่มีเวลาให้ปรับตัว ก็เลยรู้สึกหนาวหนัก) มาถึงใหม่ๆ เลือดทะลักออกจมูกทุกวัน ป่วยเป็นว่าเล่น โรคภูมิแพ้ประจำตัวที่เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านนอกจะหายขาด แต่จะกำเริบตอนอยู่กรุงเทพฯ ก็ดันเป็นตลอดไม่ยอมหายเหมือนเคย

แถมมารอบนี้ มีโอกาสได้สัมผัสพายุหมุนหิมะด้วย เป็นประสบการณ์ใหม่ในชีวิตที่สนุกสนานรื่นรมย์เสียจริง มันเป็นพายุหิมะที่หมุนวนรุนแรง หมุนทั้งวันกินเวลายาวนาน ยาวถึงตอนหิวจัดที่จำเป็นต้องออกไปหาอะไรกินพอดี ไม่มีทางเลือก เพราะหมกตัวมาทั้งวัน แทบไม่ได้กินอะไร ต้องเลือกท้องไส้ตัวเองก่อน จำใจออกไปให้พายุหิมะซัดหิมะเข้าหน้าเข้าตัวทีละดอก ๆ บันเทิงใจเสียจริง

ตอนนี้รอบเวลาที่ต้องมาอยู่บ้านนอกเลยผิดไปจากที่เดิมตั้งใจไว้ ก็เลยต้องพยายามทำงานให้หน้าหนาวที่เพิ่งผ่านไปเป็นหน้าหนาวสุดท้ายจริงๆ

......

จริงๆ แล้ว ปกติช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่ผมจะเดินทางกลับบ้านกลับช่องกับเขาเช่นกัน แต่เทอมนี้ยังต้องฝังตัวเองอยู่ในบ้านนอกต่อไป เพราะภารกิจการเรียนยังไม่สำเร็จเสร็จสิ้นตามที่ตัวตั้งใจ

อยากกลับบ้านโว้ยยยยยยยยย !!!!!

ในเมื่อยังไม่ได้กลับบ้านเรา เพราะไม่มีรักรออยู่ แถมเทอมก็เพิ่งปิดอีก จะเอาอารมณ์ที่ไหนนั่งทำงานอยู่ได้

ว่าแล้วก็ออกท่องเที่ยวดีกว่า

วันนี้ ผมเลยหนีจากบ้านนอกบินข้ามรัฐมาอยู่ถิ่นคาวบอย บ้านเกิดพี่บุชสุดเกลียด ที่เรียนพี่เหลี่ยมสุดรัก แล้วครับ

เพิ่งมาถึงเมื่อดึกคืนนี้นี่เอง

มาเยี่ยมเยียนอดีตอาจารย์อาวุโสแห่งสำนักท่าพระจันทร์ที่เคารพรักยิ่งท่านหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ท่านใช้ชีวิตไปกลับระหว่างถิ่นคาวบอยกับกรุงเทพฯ

เครื่องบินแตะพื้นตอนสี่ทุ่ม มาถึงบ้านอาจารย์ ก็นั่งคุยเรื่องราวแถวท่าพระจันทร์กันยาว เพิ่งแยกย้ายกันเข้านอนเมื่อใกล้ตีสามนี้เอง

คุยกันเรื่องอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของสำนักท่าพระจันทร์เป็นส่วนใหญ่ หลังจากไม่ได้คุยกันจริงจังมานานหลายปี (จริงๆ เมื่อก่อน ก็แทบไม่เคยคุยกันลึกซึ้งขนาดนี้)

ระหว่างคุย โดยเฉพาะหลังคุย ก็มานั่งนึกในใจว่า สติ ความเมตตา ความใจกว้าง ความมีเหตุมีผล ความเป็นผู้ใหญ่ เช่นที่มีอยู่ในตัวอาจารย์ท่านนี้นี่เอง คือสิ่งที่พร่องเลือนหายไปมากในสำนักแห่งนั้น ตั้งแต่อาจารย์ลาออกไป

ถ้าอาจารย์ยังอยู่แถวนั้น ในฐานะอาจารย์อาวุโสที่มีความเป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง คงอาจมีส่วนช่วยฉุดรั้งไม่ให้สำนักแห่งนั้นมุ่งหน้าสู่วิถีแห่งความเสื่อมแบบขาดสติได้บ้าง ... น่าเสียดาย

แต่ท่ามกลางความเสียดาย การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับอาจารย์ และรับฟังคำชี้แนะบางประการ กลับช่วยฟื้นคืนพลังของผมให้หวนคืนมาได้มากทีเดียว

บางครั้ง คนเราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความเข้าใจและกำลังใจ

ผมจะอยู่ที่ถิ่นคาวบอยแห่งนี้หนึ่งสัปดาห์นะครับ ห่างหายจากการอัพเดท blog ไปบ้าง ก็มิใช่เพราะไปรักษาแผลใจ ไร้พลังเขียน blog นะครับ โปรดเข้าใจ ถ้าวันหน้าเกิดอารมณ์อย่างนั้นจริง ไม่มีหนีหรอกครับ ยิ่งต้องเข้ามาเขียน ... มาอ้อน (ฮา)

ระหว่างนี้ อ่าน blog ของเพื่อนสมาชิกคนอื่นๆ แถวนี้ไปก่อนนะครับ ถ้าเหลือบตามองด้านข้างทางขวามือ จะเห็นชื่อสมาชิกใหม่ของชุมชนเพิ่มขึ้นอีกหลายคน ลองเวียนเข้าไปทักทายสมาชิกใหม่กันดูนะครับ ไว้วันหลังจะแนะนำให้รู้จัก

อ้อ ... แล้วอย่าลืมไปดู Star Wars III ด้วยนะครับ

สำหรับผม นี่เป็น Star Wars ภาคที่ดีที่สุด เต็มไปด้วยแง่คิดมากมาย ทั้งเรื่องการเมือง ไปจนถึงเรื่องสงครามภายในตัวตน เป็นการปิดตำนานสงครามแห่งดวงดาวได้อย่างหมดจดสมบูรณ์แบบ พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

และเร็วๆนี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด Anakin จะบุกมาให้การถึงที่นี่ !!!