pin poramet's blog

Enjoy the world of bloggers !!!

Saturday, May 28, 2005

กลับมาแล้ว

กลับจากถิ่นคาวบอยมาถึงบ้านนอกแล้วครับ

มาถึงก็ถูกทักทายด้วยพายุฝนฟ้าคะนอง เล่นเอาคิดถึงแดดจ้าฟ้าใสในถิ่นคาวบอยเสียแล้ว ยังไม่ทันไรเลย

ออกเที่ยวคราวนี้สนุกดีครับ ได้เปิดหูเปิดตา ไปเยี่ยมถิ่น Republican บ้าง อากาศถิ่นคาวบอยก็สุดแสนดี ตอนนี้ร้อนเหมือนเมืองไทยเลย ที่สำคัญ ท่านอาจารย์ที่กรุณาให้ที่สิงสถิตแก่ผม เมตตาทั้งทำและพาไปกินอาหารไทยสุดแสนอร่อยแทบทุกมื้อ ได้กินทั้งส้มตำ(จากมะละกอด้วยนะ) ข้าวหมูแดง ทะเลอบวุ้นเส้น แกงเนื้อ ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ห่อหมก ปลาดุกผัดเผ็ด ต้มยำกุ้ง ฯลฯ รวมทั้งได้ลิ้มรสสเต็กของแท้ เนื้อหนาเป็นนิ้วเป็นครั้งแรกในชีวิต (สเต็กที่เคยกินในโรงอาหารเป็นแค่แผ่นบางๆ)

ทำเอาคนอดอยากปากแห้งแต่ร่างอ้วนอย่างผม อิ่มและเอิบอย่างยิ่ง น้ำหนักขึ้นสองกิโลในเวลาไม่กี่วัน ช่วยต่อชีวิตชายหิวโซร่างอวบคนนี้ได้อีกพักใหญ่

ไปเที่ยวคราวนี้มีเรื่องตื่นเต้นด้วยนะครับ

เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว อาจารย์และลูกชายขับรถพาผมไปเที่ยวเมือง Austin ขากลับ ขณะรถวิ่งอยู่บนทางหลวงใกล้จะถึงเมืองที่พักเต็มที ก็เกิดเหตุการณ์น่าตื่นเต้นขึ้น เวลาขณะนั้นประมาณตีหนึ่งครึ่ง

ถนนที่รถวิ่งมีสองเลน มุ่งหน้าไปทางเดียวกัน มีรถบรรทุกวิ่งอยู่เลนขวา รถเราอยู่เลนซ้ายตามหลังรถบรรทุกแต่กำลังเร่งเครื่องเพื่อจะแซงหน้ารถบรรทุก ความเร็วตอนนั้นประมาณ 80 ไมล์ต่อชั่วโมง

ขณะเหยียบเร่งเครื่องกำลังจะเข้าใกล้รถบรรทุก จู่ๆ กระจกหน้ารถก็พลันเห็นภาพวัตถุประหลาดในระยะประชิด วัตถุประหลาดมีสีน้ำตาลแก่ กำลังเคลื่อนไหวโยกไปมา มันจ่ออยู่หน้ากระจกรถในระยะเกือบชน ไอ้พวกเราก็ไม่ทันเห็นมาก่อน เพราะสีมันมืดกลืนไปกับความมืดรอบตัว

ลูกชายอาจารย์ซึ่งเป็นคนขับ เลยต้องรีบหักพวงมาลัยออกไปเลนขวาทันที ลองนึกภาพดูนะครับ รถวิ่งมาเร็วๆ เพื่อจะแซงรถบรรทุก แล้วเกือบจะชนเข้ากับวัตถุประหลาดที่ไม่ทันเห็นข้างหน้า พอหักเข้าขวาแบบกะทันหัน รถก็เสียการทรงตัว คราวนี้ข้างหน้าเป็นรถบรรทุกครับ รถเราเลยต้องรีบหักซ้ายกลับมาในอีกไม่กี่วินาที ไม่งั้นได้อัดตูดรถบรรทุกแน่นอน พอหักซ้ายกลับมา รถยิ่งเสียการทรงตัวหนัก ส่ายจนเกือบตกไหล่ทาง ต้องรีบหักขวาอีกรอบ

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงเสี้ยววินาที ต้องชื่นชมลูกชายอาจารย์อย่างยิ่ง ที่ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดและมีสติ พวกเราเลยมีชีวิตรอดกลับมาได้หลังจากส่งเสียงร้องกันลั่น เซไปเซมา โชคดีที่รถไม่คว่ำไปเสียก่อน

ให้ทายว่า วัตถุประหลาดสีเข้มที่กลืนไปกับความมืดและโยกไปโยกมาเคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้ารถ จนเราเกือบชน คืออะไร?

มันคือ ก้นม้า ครับท่าน !!!

ใช่แล้วครับ ม้าครับท่าน ม้าหลงสีน้ำตาลแก่กำลังควบกุบๆกับๆ โดยไม่สนใจใคร อยู่บนถนนที่มีไว้สำหรับรถวิ่ง ณ กลางดึกประมาณตีหนึ่งครึ่ง วิ่งอยู่เลนเดียวกันกับรถเรา มุ่งหน้าเข้าเมืองเดียวกันเสียด้วย

ใครจะไปนึกไปฝันครับพี่ว่าชีวิตนี้จะได้เจอเรื่องแบบนี้ แต่มันเป็นไปแล้วครับ

สมเป็นเมืองคาวบอยของแท้จริงๆ

พี่ม้าเกือบทำผมชะตาขาดเสียแล้ว แต่ผมก็อดเป็นห่วงชะตากรรมของพี่ม้าไม่ได้ เพราะชีวิตแกอยู่บนเส้นด้ายโดยไม่รู้ตัว ควบท้านรกนะครับนั่น ไม่รู้ว่าต้องเจอรถไล่หลังอีกกี่คัน จะโดนชนเอาสักคันไหมหนอ

......

ผมกลับมาถึงเย็นวันศุกร์ นอนพักคืนหนึ่ง วันนี้วันเสาร์ก็ได้ฤกษ์ต้องออกแรงขนของย้ายสู่ที่พักใหม่ ที่ต้องรีบเพราะวันสุดท้ายที่ต้องย้ายออกคือเที่ยงวันจันทร์ และวันอาทิตย์คนไทยจะจัดบาบีคิวปาร์ตี้กัน ส่วนเช้าวันจันทร์ ใครจะตื่น

ผมอาศัยอยู่หอพักในมหาวิทยาลัยชื่อ Prince Hall ซึ่งเป็นหอของนักศึกษาที่เรียนชั้นสูงกว่าปริญญาตรี ผมอยู่ที่นี่มาตลอดตั้งแต่เริ่มมาฝึกวิชา ปกติ ปิดเทอมหน้าร้อน หอทุกแห่งในมหาวิทยาลัยจะปิดตาย นักเรียนปริญญาตรีทุกคนต้องขนของย้ายออกจากหอ มีเพียงหอเจ้าชายแห่งนี้ที่เปิดตลอดปี เพราะนักศึกษาโทเอกหลายคนต้องอยู่ทำงานต่อ

ซัมเมอร์นี้เป็นซัมเมอร์แรกของผมในรอบสี่ปีที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่สำนักหลังเขา แทนที่จะกลับไปเที่ยวระเริงที่เมืองไทย เหตุเพราะพยายามจะขึ้นชกยกสุดท้ายให้สำเร็จ แต่ถึงวันนี้ไม่รู้ว่างานการจะสำเร็จได้ตามเป้าหมายหรือไม่ เพราะเท่าที่ดูฟอร์มขณะนี้แล้ว อาการไม่ค่อยดี ไม่ค่อยขยันซ้อมเท่าที่ควร ออกอาการเหนื่อยล้า มัวแต่เมาหมัด เซไปเซมา แรงจูงใจหายไปอย่างน่าใจหาย ตอนนี้อยากกลับบ้านมากกว่านั่งทำงานอย่างรุนแรง หมดอารมณ์

เมื่อปีนี้ผมมีเหตุจำเป็นให้ต้องอยู่ตอนซัมเมอร์เป็นครั้งแรก มหาวิทยาลัยท่านก็เลยคิดจะซ่อมแซมอาคารหอเจ้าชายขึ้นมาซะงั้น สี่ปีก่อนมิทราบท่านมัวทำอะไรกันอยู่ครับ คงกลัวว่าชีวิตผมจะสุขสบายเกินไปไม่สมกับที่เกิดมาในเวลาตกฟากที่ต้องตกระกำลำบากอาบเหงื่อต่างน้ำตลอดทั้งชีวิต ผมก็เลยต้องลำบากอีกรอบ ระหกระเหินเร่รอนไปอยู่หอข้างๆ ที่ชื่อ Crampton Hall แต่ก็ยังดีที่ตึกอยู่ติดกัน

วันนี้ผมเลยต้องขนของทั้งหมดจากชั้นสามของหอเจ้าชายไปที่ห้องใหม่ที่อยู่ชั้นหนึ่งของ Crampton Hall โดยมีอุปกรณ์เคลื่อนย้ายคือ cart เล็กๆ ขนาดย่อมเยาว์หนึ่งอัน พื้นที่ผิวเล็กประมาณกระเป๋าเดินทางใบเล็กของผมเท่านั้นเอง

ผมต้องเก็บของในห้องแล้วขนขึ้น cart ลากออกจากห้องไปที่ลิฟท์ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของตึก ลงลิฟท์ไปชั้นใต้ดิน แล้วเดินทางตามทางเชื่อมใต้ดินไปโผล่ที่ใต้ดินของหอใหม่ ขึ้นลิฟท์จากชั้นใต้ดินของหอใหม่ไปที่ชั้นหนึ่ง แล้วขึ้นบันไดอีกหกขั้น เดินอีกประมาณสิบก้าว ก็จะถึงห้องใหม่ของผม

ผมขนสมบัติทั้งหมดที่มีด้วยตัวคนเดียว (นอกจากเที่ยวที่ขนตู้เย็นที่มีคุณลุงนักเรียนโข่งห้องตรงข้ามช่วยยก) เดินตามเส้นทางที่ว่ารวมทั้งสิ้น 9 รอบ ใช้เวลาทั้งสิ้น 4 ชั่วโมงครึ่งแบบ non-stop แล้วก็มานั่งจัดของในห้องใหม่ต่ออีก

เล่นเอาเหนื่อยหอบ ปวดเนื้อเมื่อยตัวไม่ใช่น้อย เพราะไม่ได้ออกกำลังกายมานานแล้ว

แต่พอมาเห็นเพื่อนฝูงรอบตัว ขนกันหลายรอบ ใช้เวลาทั้งวัน บางคนขนวันเดียวยังไม่เสร็จ ความรู้สึกก็เปลี่ยนไป กลายเป็นมาคิดใหม่ว่า นี่กูมาร่ำเรียนเมืองนอกสี่ปีแล้ว สมบัติมีแค่นี้เองเหรอวะเนี่ย แค่ใช้ cart เล็กๆ ขนคนเดียว 9 รอบก็เสร็จแล้ว 9 รอบนี่มีรอบเฉพาะโคมไฟรอบนึง เฉพาะตู้เย็นรอบนึง เฉพาะไมโครเวฟและชั้นรอบนึง ด้วยนะครับ

นึกอย่างนี้แล้วเลยลองสำรวจสมบัติที่ติดตัวว่าเรามีอะไรบ้าง พบว่าทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่ทีวี 14 นิ้วเครื่องนึง (มีคนให้) ตู้เย็น 1 เครื่อง (มีคนให้-เพิ่งมีเทอมนี้) ไมโครเวฟ 1 เครื่อง (มีคนให้-เพิ่งมีเทอมนี้) ชั้นวางของขนาดเล็กไว้วางไมโครเวฟ 1 ชิ้น (มีคนให้) ส่วนทีวีใช้วางบนตู้เย็นเอา นอกนั้น ผมก็มีแค่เสื้อผ้า หนังสือ ซีดี ยา เครื่องเขียน เครื่องนอน มีโคมไฟ 2 อัน (ผมชอบอยู่สว่างๆ) โทรศัพท์ 1 เครื่อง สายแลน สายโทรศัพท์ ปลั๊กต่อ จาน 3 ใบ ชาม 2 ใบ กระทะ 1 อัน หม้อต้มมาม่า 1 อัน ทัปเปอร์แวร์ 3 อัน ช้อน 5 คัน ส้อม 1 คัน มีด 2 ด้าม น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า สบู่ แชมพู และโน้ตบุ๊คหนึ่งเครื่อง

อยู่มาหลายปี มีสมบัติแค่นี้จริงๆ

รู้หรือยังว่าทำไมถึงอยากกลับเมืองไทยบ่อยๆ

......

ทิ้งท้ายวันนี้ด้วยเรื่องน่าดีใจครับ เพราะเพิ่งมีผู้อ่าน blog ท่านหนึ่งเขียนมาคุยกับปิ่น ปรเมศวร์ เป็นครั้งแรก หมายถึงส่งตรงไปที่อีเมลของปิ่น ปรเมศวร์ ที่ pinporamet@yahoo.com น่ะครับ

ปกติ ผมใช้ account นั้น เก็บไฟล์วิทยานิพนธ์ แต่เมื่อวานบังเอิญเข้าไป เลยเห็นจดหมายไฟฟ้านอนรออยู่หนึ่งฉบับ

ตื่นเต้นดีครับ ไม่เคยสวมวิญญาณปิ่น ปรเมศวร์ อ่านเมลมาก่อน

เจ้าของจดหมายบอกว่า ตอนแรกที่เห็นที่อยู่ใน blog เห็นเจ้าของ blog อยู่เมือง Amherst เลยคิดว่า เออ นี่อยู่ใกล้ๆ อาจารย์ปกป้องด้วย ตอนนั้นสงสัยว่าคุณปิ่นกับคุณปกป้องน่าจะรู้จักกันนะ ...

รู้จักดีทีเดียวครับ ใกล้ชิดสนิทสนมกันเสียจนน่าใจหาย นอนเตียงเดียวกันทุกคืน (ฮา)