pin poramet's blog

Enjoy the world of bloggers !!!

Monday, April 18, 2005

เฉลียง

ยามที่ผมต้องการให้จิตใจผ่อนคลายจากการทำงานหนัก ใกล้สอบ หรือเรื่องเครียดปวดหัวอื่นใด ผมมักเลือกใช้บริการยาขนานเอกประจำตัว

... บทเพลงของ 'เฉลียง' ครับ

ฟังเมื่อไหร่ ความสุขมันกลับมาได้ซะง่ายๆ

คือช่วงนี้ทำงานหนัก ใช้บริการพี่ๆ 'เฉลียง' บ่อย และเพิ่งฟังเทปคอนเสิร์ตสองครั้งสุดท้าย เลยคิดถึง 'เฉลียง' จนต้องเขียนถึงเสียหน่อย

ผมเป็นแฟน 'เฉลียง' มาตั้งแต่ตอนเรียนมัธยม ตอนกำลังวัยรุ่นเลยอ่ะครับ

เลยเป็นวัยรุ่นที่กรี๊ด 'เฉลียง' ผ่าเหล่าผ่ากอไป

ขึ้นรถพ่อไปเรียนหรือไปเที่ยว ต้อง 'เฉลียง' เท่านั้น จนน้องสาวผมเบื่อและเซ็ง

ชอบ 'เฉลียง' เลยต้องตามอ่านไปยาลใหญ่ ตามอ่านหนังสือของเหล่านักเขียนสำนักศิษย์สะดือ ที่มีพี่จิกและพี่จุ้ยเป็นเจ้าสำนักใหญ่ ถือเป็นช่วงต้นๆ ที่เริ่มหันมาอ่านหนังสือเล่ม นอกเหนือจากอ่านหนังสือการ์ตูน และหนังสือพิมพ์

พี่ๆ เหล่านี้มีส่วนทำให้ผมเริ่มรักการอ่าน รักการเขียน และเริ่มมองโลกด้วยสายตาเอียงๆ

......

ผมไม่ใช่นักฟังเพลงเลยสักนิด แต่ผมชอบเพลง 'เฉลียง' ที่สุด

ฟังเพลิน ร้องเพราะ ความหมายดี มีท่วงทำนองลีลา ทั้งกวน เหน็บแนม ลึก ช่างคิด อบอุ่น คม น่ารัก

และมองโลกในแง่ดี

'เฉลียง' เป็นกลุ่มตัวโน้ตอารมณ์ดี ที่ยังหาใครมาทดแทนไม่ได้ หลัง'เฉลียง'เลิกรา ผมยังไม่เห็นจะมีดนตรีวงไหนที่ลงตัว มีเสน่ห์และเปี่ยมจินตนาการขนาด'เฉลียง'

นอกจากเพลงดีและเพราะแล้ว ลีลาบนเวทีของพี่ๆ'เฉลียง'ยังสุดยอด

ผมเคยดูคอนเสิร์ต'เฉลียง'สองครั้ง เป็นคอนเสิร์ตสองครั้งสุดท้ายของ'เฉลียง' คือ แก้คิดถึงสิบกว่าปีเฉลียง และเรื่องราวบนแผ่นไม้

นั่นเป็นเพียงสองครั้งในชีวิตที่ผมไปดูคอนเสิร์ต

และทั้งสองครั้งเป็นคอนเสิร์ตที่เป็นมากกว่าคอนเสิร์ต

สนุก ลงตัว พอดี จนอิ่ม

ทุกวันนี้ผมยังคิดถึงบรรยากาศสองวันนั้นอยู่เลย ความตราตรึงประทับใจมิรู้ลืมคือความรู้สึกแบบนี้นี่เอง

......

ปีที่แล้ว โชคดีได้มีโอกาสพบเจอ 'เฉลียง'ตัวเป็นๆ หนึ่งคน

ใฝ่ฝันมานานแล้วครับ ที่จะได้นั่งคุยกับกับพี่ๆ วง 'เฉลียง'

ตอนได้นั่งร่วมโต๊ะ ผมดีใจมาก ตื่นเต้นมาก แต่ไม่กล้าแสดงออกต่อหน้า กลัวแกด่าเอา

ปากตะไกรออกครับ พี่จุ้ยเนี่ย

วันนั้นนั่งกินข้าวกับพี่โญอยู่ที่ hemlock ที่ประจำ ดึกๆพี่จุ้ยก็ลงมาจากชั้นบน เลยมานั่งคุยกับเราทั้งสองต่อ ตอนนั้นพี่จุ้ยเพิ่งตัดสินใจลงมาจากเชียงใหม่ เพื่อกลับมาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ

พี่โญเลยแนะนำให้รู้จักกัน พี่จุ้ยก็คอลัมนิสต์เก่าของ open

นั่งคุยไปก็ฮาไป พี่จุ้ยเป็นคนอารมณ์ดี ตรงไปตรงมา ช่างคิดช่างจินตนาการ เหมือนตัวหนังสือและตัวโน้ตของพี่เขาไม่ผิดเพี้ยน

ตอนหนึ่ง แกเสนอให้พี่โญทำนิตยสารที่ 'ด่า' ทั้งเล่ม แต่ด่าแบบมีรสนิยม สนุก มีสาระ และด่าหลายๆ แบบ หลายระดับความรุนแรง

พี่จุ้ยว่า คนชมกันมันเยอะแล้ว ด่ากันซะบ้าง บ้านเมืองจะได้เจริญ จับผิดตั้งแต่นักการเมือง วิจารณ์ทุกวงการ ตั้งแต่วงการหนังสือ วงการการศึกษา ศิลปวัฒนธรรม บทบรรณาธิการก็ให้บรรณาธิการด่าตัวเองว่าทำไมหนังสือออกช้า อะไรประมาณนี้

ส่วนเดียวในหนังสือที่จะชมแทนด่าก็คือ หน้าโฆษณา (ฮา) ฉะนั้น มาลงโฆษณากันเยอะๆ ถ้าไม่ลงจะด่าให้ (ฮาอีก)

โจทย์คือทำหนังสือที่ด่าทั้งเล่มอย่างไร ให้อ่านสนุก น่าติดตาม มีอารมณ์ขัน มีสไตล์ และมีรสนิยม

คิดแล้วพี่จุ้ยว่ายาก แต่ทำได้ และแกอยากอ่านมาก ทำให้อ่านหน่อย แกไม่อยากทำเอง

หลายเดือนต่อมา ที่งาน Happy Book Day ของสำนักพิมพ์มติชน เมื่อต้นปีนี้

ผมเจอกับพี่จุ้ยอีกครั้งที่หน้างาน ดีใจที่พี่จุ้ยอุตส่าห์จำผมได้ นึกชื่อก็ออกด้วย

เท่านั้นไม่พอ ดีใจที่แกไปอ่านหนังสือผมด้วย

โห ใครจะคิดครับว่าระดับ ศุ บุญเลี้ยง จะอ่าน คนไม่ใช่สัตว์เศรษฐกิจ

ดีใจจริงๆ

พี่จุ้ยบอกว่าช่วงปีใหม่ไปค้างบ้านครูเทพที่เชียงใหม่มา เห็นหนังสือผม เลยถามครูเทพว่า ครูอ่านหนังสือแบบนี้ด้วยเหรอ(แบบหนายยยยมิทราบคับพี่ ??!!)ครูเทพบอกว่า จำไม่ได้แล้วว่าใครมาทิ้งไว้ (ฮือ ฮือ ครูเทพลืมผมเสียแล้ว)

แกบอกผมว่า ช่วงนั้นว่างๆ เลยนอนอ่าน อ่านไม่ครบทั้งเล่มนะ เพราะมันจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ พี่จุ้ยบอกว่า ผมเขียนหนังสือให้คนแข็งแรงอ่าน คนอ่อนแออ่านไม่ไหวหรอก มันเหนื่อยยยยยย นี่บังเอิญช่วงปีใหม่ แกทำจิตใจให้ว่าง ละทิ้งความวุ่นวาย สภาพจิตใจพร้อม เลยพอรับมือไหว แต่ก็ยังอ่านรวดเดียวไม่ไหว ต้องค่อยๆเล็ม

นี่ละครับ คำวิจารณ์สไตล์ศุ บุญเลี้ยง

นึกถึงตอนคุยกับพี่หนึ่ง วรพจน์ ที่บ้านสีฟ้า ผมถามพี่หนึ่งว่า อ่านโอเพ่นเล่มใหม่หรือยัง แกบอกยิ้มๆ ว่า ยังเลย ช่วงนี้อ่อนแอ อ่านไม่ไหว หลังๆ โอเพ่นเขาทำให้คนแข็งแรงอ่าน

หลังจากพี่จุ้ยแนะนำให้ผมเพิ่มอารมณ์ขันลงไปในงานเขียน และฝึกลีลาให้พลิ้วกว่านี้ พี่จุ้ยก็เล่าให้ฟังต่อว่า ไม่ได้แค่อ่านอย่างเดียวนะ แกยังเอาเนื้อหาบางส่วนไปทดลองมาด้วย

มีบทหนึ่งในหนังสือ ผมเขียนเรื่องเกมยื่นคำขาด ซึ่งเป็นเกมที่นักเศรษฐศาสตร์เชิงทดลองใช้ทดสอบว่า แท้จริงแล้ว คนมิได้มีความเป็นสัตว์เศรษฐกิจเป็นสรณะ ดังข้อสมมติของสำนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐาน

พี่จุ้ยบอกว่า แกลองเอาเกมยื่นคำขาดไปเล่นกับเพื่อนมาด้วย ว่าแล้วแกก็ชวนผมคุยต่อเรื่องเกมยื่นคำขาด ไปจนถึงเรื่องเศรษฐศาสตร์และธุรกิจ

ความฝันล่าสุดของพี่จุ้ยคือ เป็นนักธุรกิจอาชีพ เป็นนักธุรกิจแบบจุ้ยๆ

พี่จุ้ยตัวจริงเลยครับ ฟัง(อ่าน) คิด ถาม เขียน

แล้วลงมือทำ

ลงมือทำด้วยหัวใจที่เบิกบาน

และสายตาที่มองโลกเอียงๆ

... แบบ 'เฉลียง'