ขันติ
หายไปหลายวันครับ เพราะมัวแต่ไปวิ่งเล่นกับข้อมูลที่ใช้เขียนวิทยานิพนธ์อยู่
นั่ง 'เล่นของ' หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน มาสี่วันเต็มๆ เริ่มเห็นแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเริ่มต้นแบบค่อนข้างมืดมน
หลายคนที่ 'เล่นของ' เพื่อค้นหาความจริงบ่อยๆ คงเข้าใจความรู้สึกขณะปฏิบัติการเป็นอย่างดี
ไว้วันหลัง ร่างกายแข็งแรงจะมาชวนคุยเรื่องปรัชญาว่าด้วยความจริง และปรัชญาว่าด้วยวิทยาศาสตร์ ท้าทายเหล่านักคิดยุครู้แจ้งเสียหน่อย
นักเศรษฐมิติบ่อยครั้งก็เล่นบทพระเจ้าได้ง่ายๆ
น่าคิดว่า 'ความจริง' เป็นสิ่งที่อยู่ตรงนั้น เป็นสากล มีหนึ่งเดียวรอให้เราค้นพบ หรือ 'ความจริง' เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้น ไม่มีความเป็นสากล ต่างคนต่างมีของใครของมัน กันแน่
โลกทัศน์ว่าด้วย 'ความจริง' ของแต่ละคน มีความสำคัญสืบเนื่องต่อวิธีคิด วิถีคิด ตัวตน ความเชื่อ ความสนใจ ฯลฯ ของคนคนนั้น
จะว่าไป ท่าทีต่อ 'ความจริง' เป็นพื้นฐานของโลกทัศน์ด้วยซ้ำไป
เรื่องนี้ ไว้ค่อยว่ากันวันหน้า
มาเรื่องวันนี้ดีกว่า
เมื่อคืน ผมนั่ง 'เล่นของ' อยู่ในห้องคอมพิวเตอร์ที่ออฟฟิศตั้งแต่สี่โมงเย็นถึงเที่ยงคืนกว่า แล้วจบลงพร้อมด้วยความเซ็งในผลสุดท้ายที่ได้ ทั้งที่ลงทุนลงแรงไปตั้งเยอะก่อนหน้านี้
หลังจากความเศร้าเคล้าตาลาย ก็กลับมานั่งสรุปประเด็นต่อที่หอ เพราะนัดคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาไว้บ่ายวันนี้
นั่งเล่ากระบวนการและผลลัพธ์ทั้งหมดให้อาจารย์ฟัง พร้อมสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย เพราะนั่งแก้ไขปรับปรุงฐานข้อมูลและระเบียบวิธีมาหลายวัน จนมั่นใจในกระบวนการ แต่กลับได้ผลลัพธ์ไม่เป็นดังหวัง
อาจารย์ฟังผมสักพักหนึ่ง จนถึงแก่นของเรื่อง แล้วหล่นคอมเม้นต์ประโยคแรกมาหนึ่งประโยค
ประโยคเดียวเท่านั้นครับ
แต่ชี้ทางสว่างให้ผมอย่างฉับพลัน เพราะเป็นการวิจารณ์สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่อย่างถึงแก่น อ่านขาดว่าเราหลงทางอยู่ตรงไหน และควรจะเดินกลับทางไหน เพื่อไปสู่จุดหมายที่ผมเองต้องการ แต่เดินออกจากมันไปโดยไม่รู้ตัว
ประโยคนี้แหละที่ผมต้องการ
คำวิจารณ์ที่ดีคือคำวิจารณ์ที่วิพากษ์กระบวนความคิดของเราได้อย่างถึงกึ๋น โดยใช้กระบวนความคิดของผู้ถูกวิจารณ์เองเป็นเครื่องมือ เหมือนเพลงยุทธ 'คืนหอกปักอก' ของมู่หยงฟุน่ะครับ การวิจารณ์โดยใช้กระบวนความคิดของเราเองข้ามไปวิจารณ์กระบวนความคิดของคนอื่นเป็นเรื่องไม่ยาก แต่สำหรับผม ไม่คมเข้มและมีประโยชน์ต่อผู้ถูกวิจารณ์เท่าวิธีแรก
วันนี้ผมเลยรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอาจารย์เอามากๆ ที่ทำให้ผมได้เดินทางต่อ หลังจากเมื่อวานรู้สึกว่าถึงทางตัน โชคดีว่าทางที่ผมหลงไปอยู่ไม่ไกลจากทางที่ผมอยากไปเท่าไหร่นัก
วันนี้เลยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก และยิ้มออก
ตอนเย็น ที่คณะมีงานสัมมนาวิชาการ หลังจากฟังเสร็จ อาจารย์พาไปเลี้ยงข้าวที่ร้านอาหารจีนต่อ
ลาภลอยแท้ๆ
อาจารย์ให้ช่วยสั่งอาหาร ผมเลยสั่งเป็ดมากินซะเลย อยากกินมานานแล้ว แต่ไร้ทุนทรัพย์
ผมก็สัตว์เศรษฐกิจนะครับ แถมเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่ตะกละเอาเรื่องอีกต่างหาก ฮิ ฮิ :)
อิ่มแปล้ กลับมาที่หอ วันนี้พักทำงานหนึ่งวัน เปิดเวปช่องเก้า ลองเปิดคลิปรายการสุดเกลียด 'สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน' ดู อยากรู้ครับว่า ทั้งคู่คิดอย่างไรกับคณะกรรมการสมานฉันท์ อยากรู้จริงๆ และอยากทดสอบตัวเองว่าเดี๋ยวนี้พัฒนาขีดความสามารถในการอดทนถึงระดับไหนแล้ว
ฟังแล้วบอกได้แต่ว่า นี่แหละครับ รายการที่ทำลายบรรยากาศสมานฉันท์ของสังคมอย่างแท้จริง ขนาดท่านนายกและท่านผู้นำฝ่ายค้านทำตัวเป็นตัวอย่างในรัฐสภาเมื่อวานนี้แล้วแท้ๆ จะว่าไป เมื่อวานนี้เป็นวันแรกที่ผมรู้สึกดีกับนายกทักษิณเอามากๆ ในรอบหลายปีเลยนะครับ มีวุฒิภาวะอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ผมพยายามฟังรายการด้วยขันติด้วยอยากรู้ว่า สมัคร-ดุสิต คิดอย่างไรกับแนวทางแก้ปัญหาภาคใต้ ที่เริ่มหันมาใฝ่หาสันติ คำนึงถึงความแตกต่าง และเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่
อยากรู้ว่า ท่านทั้งสองจะไปได้ไกลถึงขนาดไหน
เหลือเชื่อครับ ท่านทั้งสองไปได้ไกลกว่าที่ผมจินตนาการไว้มาก
ไกลเกินฝันครับ
และเกินจะรับได้
ผมพยายามเต็มที่แล้ว แต่รอบนี้ทนฟังได้ 8.13 นาทีครับ
เลยรู้ตัวว่า ยังต้องฝึกฝนการครองตนด้วยขันติต่อไปอีกมาก
เชิญนะครับทุกท่าน รายการนี้เป็นเครื่องมือฝึกความอดทนชั้นดี
ฝ่ายก้าวหน้าคนไหนที่สามารถทนฟังท่านทั้งสองจนจบรายการได้ด้วย 'จิตว่าง' ผมขอแสดงความนับถืออย่างสูงสุดไว้ตรงนี้เลยครับ
<< Home