The strong force, I feel.
ถ้าปรมาจารย์โยดายังมีชีวิตอยู่ คงต้องพูดประโยคข้างต้น หากพลัดหลงเข้ามาในชุมชน bloggers ละแวกนี้
ใครที่แวะเวียนอ่าน blog ของผมอยู่บ้าง คงสังเกตเห็นว่ารายชื่อสมาชิกในชุมชน bloggers ทางขวามือเพิ่มขึ้นไม่หยุด
ทุกวันนี้ แวะมาที่ blog ทีไร เป็นต้องติดหนึบอยู่พักใหญ่ กว่าจะไล่เคาะประตูบ้านแต่ละคนจนครบก็ต้องใช้เวลาพอดูทีเดียว ยิ่งช่วงนี้ผมออกเดินทางท่องเที่ยว เวลาหน้าจอน้อยลง ยิ่งแทบจะไม่มีสิทธิไปร่วมแลกเปลี่ยนหรือโต้เถียงอะไรกับใครเขาอย่างจริงจัง ทั้งที่ใจอยากและตาเห็นวงสนทนามันๆ อยู่ 2-3 วง โดยเฉพาะเรื่อง
เด็กหนีทุน ใน blog ของปริเยศ ที่ทำเอาใครหลายคนกลายเป็นเจ้าประทับทรงไปตามๆ กัน ใครยังไม่ได้เข้าไปอ่าน เชิญนะครับ ได้คิดต่อเยอะทีเดียว โดยเฉพาะในแง่นิติปรัชญาจากการถกกันของก๊วนนักกฎหมายประจำชุมชน
ว่าไป ชุมชน bloggers ละแวกนี้ ผลิตวงถกเถียงกันหลายวงแล้ว ตั้งแต่เรื่องบทบาทนักวิชาการ, ระบบทุนนิยม, การค้าเสรี, รัฐธรรมนูญ ฯลฯ อ่านข้าม blog เรียนรู้ข้ามศาสตร์ กันไปมาเป็นที่สนุกสนาน บันเทิงสมอง
คงไม่เกินเลย หากจะกล่าวว่า นี่เป็นชุมชนในอุดมคติที่น่าสนใจ หลากหลาย บรรยากาศเอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ มีพลวัตสูง และมีพัฒนาการที่น่าจับตามอง
......
อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า ผมเริ่มเขียน blog ครั้งแรกกลางเดือนมีนาคมหลังกลับมาเขียนวิทยานิพนธ์ที่บ้านนอกอีกครั้ง เริ่มต้นจากได้อ่าน blog อันสนุกสนานของ
BF Pinkerton ซึ่งตอนนี้เพิ่งจบปริญญาโทจากชิคาโกสดๆร้อนๆ และกำลังจะย้ายฟากไปต่อปริญญาเอกที่สแตนฟอร์ด ตอนนั้นอ่านแล้วก็นึกสนุกอยากลงมือเขียนบ้าง
จำได้ว่า เมื่อ blog ผมออกสู่ cyberspace ครั้งแรก ลิงก์ข้างๆ มีเพียงแค่เวปส่วนตัวของปกป้อง, blog ของ BF และ
Yeebud Diary ของคุณแทนไท ประเสริฐกุล ซึ่งคนหลัง ผมไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ได้อ่านเพราะ BF ส่งลิงก์มาให้ จนผมติดใจ สดสนุกจนต้องอ่านไล่หลังรวดเดียว นั่งหัวเราะท้องแข็ง และรู้สึกประทับใจลีลาการเขียน รวมถึงตัวตนของครูทีเด็ดอย่างแทนไทมาก
ใครรู้จักฝากชื่นชมด้วยนะครับ
พอมี blog ของตัวเองแล้ว ผมก็ส่งอีเมลไปบอกเพื่อนฝูงที่สนิทสนมกลุ่มหนึ่งและเอาลิงก์ไปแปะไว้ในเวปไซต์ของปกป้อง กะอ่านกันในวงแคบๆ เขียนไปสนุกๆ เป็นงานอดิเรกแก้เหงาตามประสาคนชอบขีดชอบเขียน
ไม่กี่วันให้หลัง blogger หน้าใหม่อีกสองคนก็เข้าสู่วงการ
คนหนึ่งคือ
One Life จอมอวดแฟน One Life เป็นเพื่อนร่วมทำ 'เช้าใหม่' ด้วยกัน ตั้งแต่ตอนขึ้นปี 2 ตอนนั้นมีกันอยู่ 5 คน คิดสนุกทำหนังสือขายกันเองตามประสาเพื่อนสนิทคอเดียวกัน
One Life ในฐานะ blogger เล่าเรื่องส่วนตัวตามประสาอาจารย์รุ่นหนุ่มมากพลังอารมณ์ดีรักเสียงเพลงแห่งคณะเศรษฐศาสตร์ มอ.หาดใหญ่ ผู้สนใจเรื่องทุนสังคม และมีวิญญาณ activist แฝงอยู่ในตัวอย่างล้นเหลือ เมื่อก่อนเป็นอย่างไร วันนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นอกจาก มีแฟนสวยอยู่ข้างกาย (ฮา)
ส่วนอีกคนหนึ่งคือ
Corgiman เพื่อนรักต่างวัยของผม
ผมเป็นแฟนการเขียนของ Corgiman มาช้านาน ตั้งแต่ลีลาการเขียนจดหมายไฟฟ้า จนถึงบทความเศรษฐศาสตร์ เพราะ Corgiman มีลีลาการเขียนพลิ้วไหว เฉียบคม ประเด็นเยี่ยม อารมณ์ขันยอดและยวน แต่พลังแฝงที่ไม่มีใครรู้คือ Corgiman เขียนวิจารณ์บอลได้เหนือกว่าคอลัมนิสต์กีฬาตามหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยซ้ำ ด้วยงานเขียนแนวใหม่ที่ตอนนี้ยังปราศจากคำนิยาม แถมวันดีคืนดียังย้อนอดีตเล่าถึงวงการเพลง ตามประสาสาวก Rock n' Roll
Corgiman ยังเป็น blogger ในตำนาน ด้วยการยื่นข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธได้อย่างอหังการ ในช่วงหงส์แดงลุ้นแชมป์ยุโรป ทำเอาแฟนหงส์ แฟนผี แฟนปืน แฟนยูเว่ (กระทั่งคนไม่ดูบอล) ทุกทวีปทั่วโลก รวมใจเป็นหนึ่งส่งหงส์ขึ้นแท่นเจ้ายุโรปอย่างมหัศจรรย์ ถือเป็นแชมป์ยุโรปทีมแรกที่ต้องกระเสือกกระสนเตะรอบคัดเลือกรอบแรก และเป็นเจ้ายุโรปที่มีคะแนนในลีกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ (ฮา)
ต่อมาอีกไม่กี่อึดใจ บุคคลที่น่าสะพรึงกลัวของผมก็ปรากฏตัว หลังจากกัดกินเหยื่ออย่างไร้ปราณีใน blog ของ BF ท่านก็เริ่มหาแหล่งอาหารใหม่ หันซ้ายหันขวา ก็มาเจอ blog ผมนี่แหล่ะ ท่านเริ่มจากเข้ามา comment ก่อน หลอกให้ตายใจชวนคุยเรื่องง่ายๆ อย่าง Golden Rule ของการรอรถเมล์ แต่ไม่นานท่านก็เริ่มเล่นของหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมเถียงจนเก็บปริเยศไปฝัน คิดดูเถิด
จริงๆ แล้ว ผมได้ยินชื่อ
ปริเยศ ในโลก cyberspace มานานแล้ว นานพอจะสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตต่อนักวิชาการไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเศรษฐศาสตร์ ผู้ไม่มีบทความวิชาการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติที่เป็นที่ยอมรับ และผู้ที่อยู่ในแวดวงวิชาการมาตั้งนาน แต่ไปไม่ถึงศาสตราจารย์เสียที ไม่นับศาสตราจารย์เกียรติคุณ ศาสตราจารย์พิเศษนะครับ อ้อ ศาสตราจารย์หลังเกษียณก็ไม่นับนะ (ฮา)
จริงๆ ผมเกือบมีโอกาสได้คุยกับปริเยศแล้วรอบหนึ่ง ตอนที่ปริเยศระเบิดอารมณ์อัดนักเศรษฐศาสตร์ทั่วฟ้าเมืองไทยใน blog ของ BF นั่นแหล่ะ ค่ำวันหนึ่ง BF บอกผมว่ากำลังคุย msn กับปริเยศอยู่ แล้วถามผมว่า จะร่วมแจมไหม แต่แค่ได้ยินชื่อ หัวใจผมก็สั่นไหวแล้ว เลยมิกล้า แต่ช่วงหลัง มาเห็นปริเยศฟอร์มใหม่เวลาเข้าไปคุยใน blog สาวๆ แล้ว ผมเปลี่ยนจากความรู้สึกหวาดกลัว เป็นคันมือคันไม้แทน (ฮา)
ระหว่างนี้ ก็มี blogger เกิดใหม่ เขียนส่งตรงมาจากอังกฤษหนึ่งคน เขาคือ
Amore Vincit นักเศรษฐศาสตร์หนุ่ม ผู้เปลี่ยวเหงา นี่ก็เล่นของหนักไม่แพ้กัน หนักกว่าด้วยซ้ำเพราะว่าด้วยทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เอาเลยทีเดียว แถมยังชอบตั้งคำถามตอบยากอย่างเสมอต้นเสมอปลาย Amore Vincit เพิ่มความหลากหลายให้ชาว blog โดยพกไม้บรรทัดคู่ใจติดมือเสมอ ซึ่งไม้บรรทัดของเขาต่างจากของผมมากทีเดียว
ชุมชนแถวนี้จึงเริ่มต้นด้วยการเป็นชุมชนนักเศรษฐศาสตร์ ... กระทั่งวันหนึ่ง ...
กระทั่งวันหนึ่ง comment ลึกลับจาก
Etat de droit หรือนายนิติรัฐของผม ก็โผล่ขึ้นมา มาพร้อมกับลิงก์ไปยัง blog ของเขา ผมว่านี่เป็นจุดพลิกผันสำคัญของชุมชน จากที่เคยเวียนอ่านกันในหมู่คนที่ผมรู้จัก (ยกเว้นปริเยศ ที่รู้จักแต่ชื่อ ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ชักระแคะระคายว่าคงหัวล้านเช่นกัน)
มารู้เอาตอนหลังว่า นิติรัฐเป็นอาจารย์หนุ่มที่นิติ ธรรมศาสตร์ แกโผล่มาก็เขียนๆๆๆๆๆๆ ติดกัน 7-8 วันแบบม้าหนุ่มบ้าพลัง เป็นมิดฟิลด์ฮาร์ดแมนจอมขยันอีกคนหนึ่ง ต้องสารภาพว่า blog ของนิติรัฐเป็น blog ที่ผมชอบที่สุด นิติรัฐเขียนหนังสือได้ถูกจริตผมมาก อ่านแล้วอยากทำงานด้วย และผมเองก็สนใจกฎหมายมหาชนเป็นทุนเดิม แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนจริงจัง ยิ่งเนติบริกร (1) และเนติบริกร (2) แข่งกันโชว์ฟอร์มมากเท่าไหร่ ผมยิ่งอยากมีความรู้ด้านกฎหมายมหาชน
ตามประสาหนุ่มขี้เหงา นิติรัฐมิอาจมาคนเดียวได้ แต่พาเพื่อนตามมาอีกเป็นโขยง ช่วยเปิดประตูคนแถวนี้ไปสู่โลกของเหล่า bloggers นักกฎหมายหนุ่มชั้นยอด ผู้เป็นเนติบริกรประชาชนและยึดมั่นหลักนิติธรรม ไม่ใช่เนติบริกรผู้มีอำนาจ ดังพฤติกรรมของเนติบริกร (1) ผู้ทำให้วงการกฎหมายเสื่อมเสียชื่อเสียงในสายตาประชาชนทั่วไป
ผมได้รู้จัก
Ratioscripta คู่หูวิชาการของนิติรัฐ ผ่านข้อเขียน สำหรับผม blog นี้เป็น blog ที่มีพัฒนาการการเขียนสูงสุด คุณ Ratio ยิ่งเขียน ยิ่งดี แรกๆ ยังขัดๆเขินๆ แต่ไม่นานก็ปล่อยลีลาได้หมดจด เนื้อหาแน่น มีอารมณ์ขันกำลังน่ารัก สาวๆคนไหนยังไร้คู่ โปรดพิจารณา (ฮา)
โชคดีของผมยังไม่หมด เพราะได้รู้จักพี่
บุญชิต ฟักมี ผ่านทางกลุ่ม bloggers นิติศาสตร์ ผมเห็นหน้าเห็นหลังพี่เขาตามผู้จัดกวน และ Mars มาพักใหญ่ และได้ยินชื่อเสียงของอีกร่างหนึ่งในฐานะดาวรุ่งแห่งศาลไคฟง พี่บุญชิตเขียนหนังสือได้ยอดเยี่ยม หลากอารมณ์ อ่านสนุก เพลิดเพลิน กวนแบบขำๆ คมๆ เสียจนทำให้ผมนึกถึงพี่พิชญ์อยู่บ่อยๆ ยิ่งได้ยินมาว่าหุ่นใกล้เคียงกันด้วยแล้ว
นอกจาก blog ของพี่บุญชิตแล้ว ในเวป
Chez players ของเจ้าตัว ยังหนีบเอางานเขียนของคุณมิ้ม Carre de mim ที่เขียนหนังสือได้น่าร้ากมาก มาด้วยอีกคน
ชุมนุม blogger เริ่มคึกคักขึ้นเรื่อยๆ หลังจากหายเอียงอายระหว่างกัน ก็เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กันจนตอนนี้กลายเป็นเพื่อนกันหมดแล้ว
ต่อมาไม่นาน วันดีคืนดีคุณ
Grappa ยอดบรรณาธิการแห่ง Hemlock ก็แวะมาเยี่ยมแบบ surprise ทำเอาผมทั้งตะลึงทั้งดีใจ เพราะไม่รู้มาก่อนว่าท่านพี่ก็เป็น blogger กับเขาเหมือนกัน blog คุณ Grappa ว่าด้วยหนังสือ บทเพลง และหนัง มีเพลงเพราะๆ และคำคมเด็ดๆ ให้เราฟังและอ่านเสมอ โดนผมทำลิงก์ไปอีกคน
blog ของคุณ Grappa ยังเป็นประตูสู่โลกของหนังสือ หนัง และเพลง ที่น่าค้นหา เพราะเต็มไปด้วยสมาชิกในชุมชนที่น่าสนใจอีกจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือ blog ของ
Merveillexxx นักศึกษาเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ปริญญาตรี ที่วิจารณ์หนัง เพลง และหนังสือ ได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นอีกคนหนึ่งที่ผมอยากคุยด้วยเรื่องการเขียนหนังสือและแรงบันดาลใจ นานๆ ทีจะเห็นนักเรียนเศรษฐศาสตร์เขียนหนังสือได้ดีปานนี้ น่าทึ่งมาก
พี่ Grappa ปรากฎตัวมาพร้อมๆ กับ
ยอดมนุษย์หญิง ที่ปลีกเวลาจากการเรียนปริญญาเอกปรัชญา ที่อังกฤษ มาคุยกับเราๆ เป็นระยะๆ คุณหญิงเป็นอีกคนที่เขียนหนังสือได้น่ารักและน่าสนใจ มีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่ในไดอารี่เล่าเรื่องส่วนตัวให้เราคิดเสมอ นักปรัชญาอ่ะ จะเทศนากันตรงๆได้ไง ฮิฮิ
ชุมชน bloggers คึกคักขึ้นอีกคำรบเมื่อ เหล่าสมาชิกรุ่นน้องรุ่นศิษย์ยกพลมาสมทบ เพิ่มความสด ความเยาว์ และพลังหนุ่มให้กับพี่ๆ ป๋าๆ และป้าๆ ใครเป็นใครรับกันเอาเอง (ฮา)
เริ่มจากคุณ
Steelers อดีตนักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ที่กำลังจะออกเดินทางครั้งใหม่ไปสหรัฐอเมริกาเร็ววันนี้ Steelers เขียนเรื่องการศึกษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้อย่างน่าสนใจ ทั้งที่เป็นเจ้าของสถิติเดินทางไปกลับ ญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ มากที่สุดในโลกในรอบหนึ่งปี (ฮา) ลิงก์ใน blog ของ Steelers ยังพาเราไปสู่โลกของนักเรียนไทยในญี่ปุ่น กลุ่มศิษย์เก่าบีอี และกลุ่มนักศึกษาปริญญาโทภาคภาษาอังกฤษที่เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
ตามมาด้วย
กระต่ายน้อย น้องรักของผม ที่ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณอะไรเพิ่มอีก เขียนถึงบ่อยจนเบื่อแล้ว
ช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน นักเขียนหนุ่มขวัญใจผมก็ปรากฎตัว
David Ginola นักเรียนเศรษฐศาสตร์หนุ่มอนาคตไกล อุดมการณ์สูง ที่เขียนหนังสือโคตรดี ดีอย่างน่าทึ่งมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ดี (หรือแก่กันแน่วะเนี่ย) จน BF คิดว่าเป็นนักศึกษาปริญญาเอก (ฮา) ทั้งที่เจ้าตัวเพิ่งกำลังจะขึ้นปีสี่ปริญญาตรีเท่านั้นเอง
หลังจากนั้น
ชล บุนนาค ก็เข้าสู่วงการ ชลเป็นบัณฑิตใหม่หมาดของคณะผม เป็นนักกิจกรรมตัวยง ครบเครื่องทั้งวิชาการและกิจกรรม ผมอยู่คณะเศรษฐศาสตร์มาสิบปี เรื่องกิจกรรมไม่มีใครเกินชล ยกให้เป็นเบอร์หนึ่งในรอบทศวรรษเลย
ไม่นาน นักเขียนหนุ่มขวัญใจผมอีกคน ก็นึกครื้มเปิด blog กับเขาด้วย ผมอ่านคอลัมน์
การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดา ของเขาในผู้จัดการออนไลน์แล้วได้แต่ทึ่ง อาทิตย์เป็นรุ่นพี่สุดนับถือของกระต่ายน้อยในรั้วโรงเรียน ตอนนี้ได้ทุนฟุลไบรท์มาเรียนอยู่ที่นิวยอร์ก อาทิตย์เป็นนักเขียนความเรียงที่ยอดเยี่ยม อ่านแล้วอิ่มและอบอุ่น blog เขาใช้ชื่อ
Tihtra เป็น blog ที่ไม่เหมือนใคร เพราะว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ โดยเฉพาะการเลี้ยงปลา งานอดิเรกสุดรักของเขา
ช่วงนี้ เหล่า bloggers ก็สนิทสนมกันมากขึ้น จนสนทนากันทาง msn บ่อยๆ ยังจำคืนวันที่คุยกับอาทิตย์ครั้งแรกได้ คุยไปคุยมา ตอนเกือบตีหนึ่ง จู่ๆ อาทิตย์ก็บอกว่า พรุ่งนี้ผมไปหาพี่ดีกว่า ว่าแล้วก็จองตั๋วรถเดินทางจากเมืองกรุงมาบ้านนอกในวันรุ่งขึ้น พลัง blog แท้ๆ เลยครับ
ตอนหลังนึกสนุกกันจน กระต่ายน้อยและอาทิตย์ เปิด
ร้านลาว เป็นที่พักผ่อนนั่งจิบเหล้าขาวในขวดไวน์ฝรั่งเศสคุยกันโปกฮา โดยมีพี่บุญชิตเป็นหัวหน้าเด็ก
ต่อมา พี่
พล นายตำรวจนักวิชาการ ที่ได้ทุนมาเรียนเอกอยู่ที่อเมริกา ก็เข้ามาร่วมแจมละแวกนี้ พร้อมพกพาความรู้ทางกฎหมาย การเมือง และอาชญวิทยามาด้วย พี่พลนี่แฟน blog มหาศาลนะครับ เขียนหนังสืออ่านสนุก เป็นนายตำรวจหัวก้าวหน้าที่ผมชื่นชม แม้ความคิดบางด้านเราจะไม่ตรงกันบ้าง ผมประทับใจพี่พลมากตรงความใจกว้าง สมเป็นนักวิชาการ น่าอิ่มใจแทนประเทศไทยที่มีตำรวจดีๆ อย่างพี่พล รู้สึกดีอักโขที่คนสองคนคุยกันได้อย่างเคารพซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะเมื่อคนหนึ่งเรียกพี่ทักษิณ ส่วนอีกคนหนึ่ง วิจารณ์ท่านผู้นำหนักบ่อยครั้ง
ยังมี
bird almighty นักเขียน blog ที่อ่านแล้วเหนื่อยที่สุดอีกคน เหนื่อยอย่างไร ลองเข้าไปอ่านกันดูเองครับ ผมเหนื่อยแล้ว (ฮา)
แล้วหลังกลับจากทัวร์ยุโรป คุณ
Felice Farfalla ก็เจียดเวลาทำวิทยานิพนธ์ว่าด้วยประวัติศาสตร์ศิลปอันมีค่า มาร่วมเปิด blog กับเขาบ้าง หลังจากแวะมาแจมอย่างสม่ำเสมอ แม้จะแว่บจากโอเพ่นไปเรียนต่อที่อังกฤษ คุณปุ๊กยังเขียนหนังสือได้น่าอ่านอยู่เช่นเคย
เช่นเดียวกับคุณ
Kopok ขวัญใจชมรม bloggers ที่แวะเข้ามาทักทาย blog ขาโหดอย่างปริเยศ ขาอ้อนอย่างนิติรัฐ ขาโจ๋อย่างบุญชิต จนทำให้ผมมีโอกาสได้รู้จักไปด้วย
ปิดท้ายที่
สีฝุ่น หลังมาอ่านอยู่เรื่อยๆ ก็หายเขิน ยอมให้ผมทำลิงก์ร่วมแจมกับเพื่อนๆ อีกคน รายนี้เขียนหนังสือนุ่มสะอาดสวยงามมากนะครับ แต่งเพลงก็เพราะ เจ้าตัวเพิ่งย้ายงานข้ามรัฐจากเดนเวอร์ไปชิคาโก หวังว่าชีวิตลงตัวเมื่อไหร่ คงมีเวลาสะบัดปากกาครั้งใหม่ให้ได้อ่านกัน
กว่าจะเขียนครบ เล่นเอาเหนื่อยหอบทีเดียว
......
การเติบโตโดยธรรมชาติของชุมชน bloggers เป็นเรื่องน่าคิดมากนะครับ ผมคิดว่าเราได้ช่วยกันสร้างสรรค์ชุมชนในอุดมคติตัวอย่างขึ้นมาชุมชนหนึ่ง โดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่มีใครนึกฝันมาก่อน
ชุมชนที่แต่ละคนแสดงตัวตนและความคิดได้อย่างอิสระ ถกเถียงแลกเปลี่ยนกันได้อย่างเต็มที่เสรี โต้กันด้วยเหตุผลโดยไม่เจ็บแค้นเคืองโกรธ ยกเอาแว่นตาที่ตัวเองถนัดมาแลกเปลี่ยนกัน เมื่อบรรยากาศแห่งการถกเถียงเรียนรู้เปิดกว้าง เราจึงก็ได้เห็นแต่ละคนงัดศักยภาพที่ตนมีออกมาสำแดงได้อย่างเต็มที่ และการถกเถียงแลกเปลี่ยนก็ยิ่งช่วยให้แต่ละฝ่ายต่างพัฒนาตัวเองยิ่งขึ้นไปอีก
ผมคิดว่า บรรยากาศในชุมชนนี้ดีกว่าบรรยากาศวิชาการในมหาวิทยาลัยไทยเสียอีก ดีเสียจนเติมพลังให้ผมกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากงอนสังคมไทยในช่วงปลายปีที่แล้วจากปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ จนเลิกเขียนคอลัมน์ไป
สัมผัสได้ถึงบรรยากาศมองซ้ายมองขวารอบๆตัวอีกครั้ง
คนชอบเถียงชอบอ่านชอบเรียนรู้อย่างผม เลยตกหลุมรักชุมชนนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น
ที่สำคัญคือ ชุมชน blogger มีพลวัตมากเหลือเชื่อ ในชั่วเวลาเพียงสองเดือน ผมรู้สึกว่า 'พลัง' ที่ไหลเวียนอยู่ในชุมชนนี้สูงมาก และเป็น 'พลัง' สร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาตัวเองและสังคม เป็น 'พลัง' ที่เกิดจากสมาชิกในชุมชน ที่แบ่งถ่าย 'พลัง' ให้แก่กัน ผมไม่พบเห็น 'พลัง' ทำลายล้างรอบๆนี้เลย มีแต่พลังแห่งมิตรภาพ
พลังจากเพื่อนสู่เพื่อนนี้เองที่ขับดันชุมชน bloggers ให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยอัตราเร่งสูง จนไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน
ท่านที่เข้ามาอ่าน blog ของเหล่าสมาชิกอยู่เนืองๆ โปรดลงมือเขียน blog เสียแต่วันนี้เลยครับ แล้วจะสนุกสนานที่ได้สัมผัสพลังเช่นว่าด้วยตัวเอง อย่ามัวแต่เฝ้าดูอยู่วงนอกเลย ไสช้างมาร่วมก๊วนกันเถิด
......
ดังเช่น เพื่อนรักของผมอีกสามคน ที่ในที่สุดก็ตัดสินใจมาร่วมชุมชนนี้เสียที
ไปๆมาๆ แถวนี้กำลังจะกลายเป็นชุมเสือแดนสิงห์ไปเสียแล้ว
ขอแนะนำเสืออีกสามตัวที่เคยอยู่ถ้ำเดียวกันมาแล้วตรงนี้เลยนะครับ
ผมภูมิใจเสนอ
คนแรก เป็นคู่หูมองซ้ายมองขวา เพื่อนรักของผมในสำนักท่าพระจันทร์ อดีตหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคต้นตระกูลไทย หลังจากเล่นตัวอยู่นาน เสือร้ายแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาท่าพระจันทร์ที่ตอนนี้ไปวิ่งจับจิงโจ้อยู่ที่ออสเตรเลียก็กลับมาจับปากกาอีกครั้ง
ด้วยความรักในตัวลูฟี่ โจรสลัดหนุ่ม ผู้มีสัญลักษณ์ชอบสวมหมวกฟาง แห่งการ์ตูน One Piece blog ของเขาเลยตั้งชื่อว่า
StrawHat ใครเป็นแฟน One Piece คงรู้ว่า ลูฟี่กินผลประหลาดเข้าไป ทำให้มีพลังเหนือมนุษย์อย่างหนึ่ง พลังที่ว่านั้นคือ ความสามารถในการยืดได้หดได้ของร่างกาย นับว่าเหมาะสมกับเจ้าของ blog ยิ่งนัก
วันรุ่งขึ้น
Kickoman ก็เปิด blog กับเขาบ้าง หลังจากสองวันก่อนหน้า มากินหมูย่างเนื้อย่างเกาหลีด้วยกันที่บ้านเพื่อนผม ระหว่างจิบไวน์ ผมอวดชุมชน bloggers ให้ชม แกเกิดติดใจ ลงมือขีดเขียนโดยพลัน Kickoman เขียนหนังสือสนุกมากนะครับ
Kickoman เป็นด็อกเตอร์ใหม่หมาดจากมหาลัยหมีน้อยของพี่พิชญ์ หวังว่ายามว่างเว้นจากการผลิต Washington Consensus จะมาเขียน blog ให้เพื่อนสมาชิกได้อ่านบ่อยๆ Kickoman จับปากกาถือว่ามา DC งวดนี้ ผมไม่เสียเที่ยวแล้ว
คนสุดท้ายคือ
November Seabreeze ยอดนักเศรษฐศาสตร์แห่งอนาคต NS กำลังจะไปเรียนต่อที่ Oxford ประเทศอังกฤษ ในอีกไม่กี่เดือน ไม่แน่ชัดว่าจะกลับมาร่วมแก๊งค์กับหล่อใหญ่ หล่อเล็ก และหล่อจิ๋วหรือไม่ แต่แน่ชัดว่า จะเป็นกำลังสำคัญให้วงการเศรษฐศาสตร์บ้านเราในอนาคตเป็นแน่แท้ ว่ากันว่านี่เป็น blog ที่แฟนๆรออ่านมากที่สุด
ขอเชิญติดตามด้วยความระทึกในดวงหทัยพลัน
ไม่นานมานี้ พี่บุญชิตเคยเขียนเรื่อง
โลกแบนจริงๆด้วย โลกแบนหรือกลม ผมไม่รู้ ตอนนี้รู้แต่เพียงว่า โลกของ bloggers ช่างงดงามเหลือเกิน
......